วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

::ห้วงคิดที่ 9::












::บทที่ 9::


คนหนุ่มสาวมักมองหาคู่ครองตามวัย












แผลของข้าเกือบหายสนิทแล้ว และการสำรวจพื้นที่บริเวณใหม่ก็เป็นไปอย่างราบรื่นไร้ปัญหา สถานที่ในยุคนี้ไม่มีศัตรูของพวกข้าปรากฏเลย ไม่รู้ว่าซานิวะย้ายที่ตั้งเรือนมาอยู่ในยุคสมัยใดถึงได้สงบสุขจนน่าเบื่อเช่นนี้






แต่เอาเถอะ..


พวกข้ายังสำรวจอะไรไม่ค่อยได้ทั่วนัก บางทีอาจจะเจอกองทัพของฝ่ายตรงข้ามเข้าไม่วันใดก็วันหนึ่ง มนุษย์นั่นไม่มีทางหลีกหนีความปราถนาพ้น เรื่องเหล่านี้ข้ากระจ่างชัดด้วยตนเองมาเป็นเวลานับร้อยปี จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีศัตรูตามชะตากรรมถือกำเนิดมาให้ได้รับมือต่อกร ข้าก็ได้แต่หวังว่าจะพบเจอในเร็ววันพวกหลานๆจะได้หายเบื่อแล้วเลิกบ่นให้ข้าฟังเสียที..






กล่าวถึงดาบเล่มอื่นข้าก็ต้องขอพูดถึงผู้ร่วมหน่วยกับข้าเสียหน่อย ข้าไม่สามารถหาความกระจ่างได้จริงๆว่าเหตุใดอาการของโชคุไดคิริที่ว่าย่ำแย่จนปางตายนั้นกลับเป็นปกติได้ราวกับมิเคยเกิดเรื่องอันใดมาก่อน.. อีกทั้งบาดแผลยังหายเร็วกว่าข้าอย่างเทียบกันมิได้ ข้าได้แต่มองเจ้านายตนเองด้วยความกังขาว่าเขาทำได้อย่างไรกัน? หากอีกฝ่ายทำได้ถึงขั้นนั่นเหตุใดเขาจึงใช้วิธีนั้นกับข้า..








 "อึก.."






   อีกแล้ว..





เพียงแค่ย้อนคิดถึงเหตุการณ์นั้นความต้องการเบื้องต่ำก็พุ่งเข้าใส่ราวกับสัตว์ป่ากระหายโลกีย์ แม้เดี๋ยวนี้ซานิวะจะสนทนาอย่างเปิดใจกับข้าเหมือนที่ทำกับดาบเล่มอื่นแต่กลับเป็นข้าที่รู้สึกกระสับกระส่ายคล้ายมิอาจอยู่ทนสนทนา ด้วยในใจคิดแต่เพียงว่าจะหลอกล่ออีกฝ่ายไปห้องตนอย่างไรดี ความปราถนาอันปั่นป่วนที่มิอาจยอมรับได้นี้นับวันก็ยิ่งทำให้ข้าประคองรอยยิ้มตามแบบฉบับไว้ยากเย็นเต็มทน






"ไหนว่าจะชวนข้าดื่มสาเก ทำหน้าตาเช่นนี้ท่านเมามายแล้วหรือไรกัน?" รอยยิ้มเจือรอยขันบนใบหน้าสง่างามนั้นทำให้ห้วใจเต้นกระตุก





"เอ๋? โอ้.. ข้าลืมไปเสียสนิทเลยว่าท่านจะมา ฮะฮะฮะ" ข้าแสร้งหัวเราะแล้วยกจอกสุราขึ้นจ่อริมฝีปาก ยกดื่มเพื่อบดบังจันทร์เสี้ยวในดวงตาที่แฝงประกายหมายมาดอย่างมิดชิด





อ่า.. ใช่แล้วเมื่อเย็นข้าเพิ่งชวนซานิวะมานั่งดื่มสาเกชมจันทร์ และก็ใช่อีกเช่นกันที่ข้าชวนอีกฝ่ายมาที่ห้องของข้า เนื่องจากตนเองทรมานยิ่งนักกับความอดทนที่มิเข้าใจข้าจึงนั่งคิดไตร่ตรองจนกระทั้งแน่ใจว่าข้าปราถนาคนผู้นี้ยิ่ง อย่างไรเสียในเรื่องนี้ก็ต้องมีคนรับผิดชอบ จะผิดแปลกอันใดที่ข้าอยากให้อีกฝ่ายชดใช้ด้วยการตอบสนองทางกามรมณ์ที่สร้างความทุกทรมานให้ข้าจนปวดร้าว เนื่องจากการเสร็จสมด้วยตนเองมิอาจบรรเทาความกระหายอยากได้ข้าจึงคิดใช้วิธีนี้






ข้าต้องการให้ความรู้สึกอันเหลวไหลนี้จบสิ้นไปเสียที หากการอดทนที่จะไม่แตะต้องอีกฝ่ายมันทำให้ข้าแทบคลั่งตายเช่นนี้ ข้าขอเป็นฝ่ายขยี้คนผู้ให้แหลกลาญไปเพื่อปลดเปลื้องพันธนาการทางอารมณ์ของตนเองเสียดีกว่า...






    บ้าจริง.. กลิ่นนั่น..





กลิ่นหอมอ่อนๆของผลท้อที่ติดกายเจ้าตัวเสมอนั้นยิ่งนานวันก็ยิ่งเย้ายวนชวนลิ้มรส ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นบุรุษและข้าก็มิเคยมีความต้องการด้านนั้นกับบุรุษมาก่อนแต่ยามนี้ข้ากลับอยากกลืนกินอีกฝ่ายแทบคลั่ง นี่ข้าเลอะเลือนไปแล้วใช่หรือไม่?





"มองข้าเช่นนี้ท่านมีอันใดอยากถามหรือ?"






เสียงของซานิวะแม้ไม่ได้อ่อนหวานเช่นสตรีแต่ก็ฟังนุ่มนวลชวนรื่นหู ดวงตาสีครามข้างซ้ายอันงดงามแฝงความพิศวงผลุบมองจอกสาเกในมือตนแต่กลับเอ่ยปากถามข้าราวกับรับรู้ถึงสายตา ข้ายิ้มอย่างมีความหมายก่อนเอ่ยตอบอย่างคนแก่จอมเอื่อยเฉื่อยตามฉบับ






"ก็มิใช่เรื่องสำคัญอันใดหรอก แค่ท่านเปลี่ยนไปเช่นนี้ข้าก็อดย้อนนึกถึงวันวานมิได้ คราแรกที่ข้าพบหน้า ข้าคิดว่าท่านเป็นสตรีนะ ฮ่าฮ่าฮ่า"





"อ่า.. ข้ากระจ่างใจดีว่าใบหน้าข้ายามนั้นชวนให้ผู้อื่นเข้าใจผิดเพียงใด แต่ยามนี้ท่านคงหมดความสับสนแล้วกระมัง" ชายหนุ่มเลิกคิ้วหยอกเย้าอย่างไม่คิดถือสากับคำพูดเชิงกังขาในความเป็นบุรุษนั้น ข้านึกสนุกจึงเอ่ยต่อ






"แต่ข้าว่ายามนี้ท่านก็งดงามไปอีกแบบนะ สมแล้วที่ยามอ่อนเยาว์มีใบหน้าที่งดงามเช่นนั้น"






"หืม.. ท่านคิดเช่นนั้นหรือ?" รอยยิ้มของซานิวะค่อยๆผลิบานอย่างงดงามราวดอกท้อที่แย้มบาน ไม่ต่างจากกลิ่นประจำกายของเจ้าตัวซึ่งคล้ายผลท้อที่บ่มเพาะจนหอมหวานชวนให้รู้สึกมึนงงร้อนรุ่ม






"มิใช่หรอกหรือ อะ.."






ร่างที่ขยับเข้าใกล้อย่างเนิ่บช้าสร้างแรงกระตุกในหัวใจอย่างประหลาด กายเนื้อรู้สึกเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นปลุกเร้าทั้งที่มีผู้ใดสัมผัสนอกจากกลิ่นท้อที่ลอยอวลอ้อยอิ่ง ดวงตาสีครามด้านซ้ายที่จ้องมองมายังคงเด่นชัดกลางแสงจันทร์ หัวใจของข้าสั่นไหวจนเผลอสะดุ้งเมื่อปลายนิ้วไล้สัมผัสแก้ม กว่าจะจับยึดสติที่เหลือไว้ได้ทันก็พบว่ายามนี้ซานิวะกำลังคร่อมตัวอยู่เหนือร่างข้าแล้ว ฝ่ามือของเขาลูบไล้ใบหน้า ไล่ปลายนิ้วไปแตะเปลือกตาเหนือจันทร์เสี้ยว บุรุษเจ้าของเรือนผมสีเหมันต์เอนกายเข้าเบียดชิดสองมือดันไหล่ให้ข้าหงายหลังนอนติดพื้นเสื่อ






"เหตุใด.." ข้าหอบหายใจเอ่ยเสียงแผ่วด้วยคำถาม มิเข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงรู้สึกปราถนาอีกฝ่ายอย่างหมดหนทางปฏิเสธเช่นนี้ และเหตุใดอีกฝ่ายถึงมองข้าด้วยรอยยิ้มกึ่งเห็นใจกึ่งจนใจเช่นนั้น






"ท่านนี่จริงๆเลยนะ.. ใจจริงข้าอยากรอให้พร้อมกว่านี้อีกสักหน่อยแต่ดูเหมือนว่าจะทำมิได้เสียแล้ว ใครจะคิดว่าท่านจะเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเองเช่นนี้กัน"






"หมายความว่าอย่างไร นี่ท่าน! อะ..อือ.. อย่าจับนะ..มะ ไม่..."






มือที่ลูบคลำนวดคลึงส่วนอ่อนไหวทำให้ข้ากัดริมฝีปากกลั้นเสียงน่าละอายที่ไม่สามารถควบคุมได้ ฝ่ายคนกระทำกลับถอนหายใจด้วยสีหน้ายุ่งยากก่อนส่งยิ้มหวานพร้อมปลดอาภรณ์ท่อนล่างของข้าเพื่อล้วงมือเข้าไปสัมผัสความร้อนฉ่านั้นอย่างเต็มที่ เสียงทุ่มเอ่ยอย่างอ่อนละมุนคล้ายการปลอบใจ






"อย่าฝืนเลยท่านทนมันไม่ได้หรอก แม้ว่าข้าจะจำที่ผู้ใหญ่เล่าไม่ค่อยได้นักว่ามันต้องใช้เวลานานเท่าไรแต่การร่วมคู่สมสู่ของเผ่าข้ามันฝืนห้ามตัวเองกันไม่ได้หรอกนะ"






"อึก! อย่ารูดเช่นนั้น ข้า..อะ อะ.." มือของอีกฝ่ายกอบกุมความแข็งขืนของข้าแล้วรูดขึ้นลงจนปลายยอดมีน้ำไหลซึมออกมาด้วยไฟปราถนา แม้ปากจะเอ่ยห้ามแต่ยิ่งถูกรูดรั้งมากเท่าไรข้ากลับรู้สึกสุขสมระคนยินดีกับการปรนเปรอที่ตอบสนองได้ตรงใจ






"ท่านเป็นถึงขั้นนี้แล้วเลิกฝืนตนเองเถอะ เป็นคู่ให้ข้า นับจากนี้ข้าจะรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดเอง.." เรื่องที่อีกฝ่ายพูดมาข้าไม่เข้าใจเลยสักอย่างแต่สัมผัสที่ได้รับกลับทำให้ข้าหมดความคิดที่จะต่อต้านขัดขืนด้วยความกระสั่นหิวกระหายอันเปี่ยมล้นจนดวงตามืดบอด






     ฟึบ!!






"!!?"





ข้าใช้เรี้ยวแรงที่ตนยังพอมีเหลือพลักร่างอีกฝ่ายพลิกกลับมาเป็นฝ่ายอยู่ด้านบน ประกบริมฝีปากบดจูบเคล้าคลึงอย่างหลงใหลคล้ายมึนเมาสุรา ส่งลิ้นเข้าไปพัวพันอีกฝ่ายซึ่งเจ้าตัวก็ตอบสนองอย่างมิคล้ายคนอ่อนเดียงสา สติของข้าคล้ายจะเลือนลางด้วยราคะที่เข้าครอบงำอย่างมิคิดจะเสียเวลาห้ามใจอีกต่อไป สองมือปลดเปลื้องอาภรณ์ของอีกฝ่ายเช่นเดียวกับที่ร่างด้านใต้ลูบไล้จนข้าเปลือยเปล่า ซานิวะยิ้มหวานจนดวงตาเล็กหยี่เอ่ยถามเสียงแผ่วจางคล้ายมนตร์กระซิบจากภูตพราย






"บอกมาสิจันทร์เสี้ยวของข้า.. อยากให้ข้าทำสิ่งใดกับเรือนร่างของท่าน"






ข้ามองรอยยิ้มนั้นก่อนดึงตัวให้เขานั้งคุกเข่าจับใบหน้าอีกฝ่ายให้เข้าใกล้ความแข็งขืนที่พองคับจนปวดหนืบนั้นอย่างไม่พูดต่อความอันใด ข้าไม่พูดอีกฝ่ายก็ไม่ควรได้พูดเช่นกัน ข้าคิดว่าเขาจะมีท่าทีรังเกียจแต่มิคาด ซานิวะยอมใช้ปากปรนเปรอให้ข้าแต่โดยดี ริมฝีปากดูดเลียราวก้บกำลังทานของโปรดแสนอร่อย ปลายลิ้นไล่เลียจากโคนจรดปลายและกลืนกินมันเข้าไปในจังหวะเนิ่บนาบ ท่าทางที่ดูเอร็ดอร่อยกับการดูดเลียนั้นทำให้ข้าตื่นเต้นยินดีอย่างประหลาด






"เร็วอีกสิ ซานิวะ อืม.." ปลายลิ้นร้อนที่ไล้วนรอบแกนกายกับการขยับดูดดึงทำให้ข้าครางแผ่วอย่างพอใจ อดไม่ได้ที่จะลูบหัวให้รางวัล หญิงบริการที่ว่าเยี่ยมยอดในเชิงลิ้นยังมิเท่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ ลีลาร้ายกาจจนน่ากังขาว่านี้เป็นครั้งแรกของเจ้าตัวจริงๆหรือ? ดวงตาสีครามของอีกฝ่ายช้อนมองข้าก่อนจงใจใช้ฟันครูดตามความยาวเบาๆจนต้องสูดปาก





"อะ เดี๋ยว.. อย่าใช้ฟันสิ อึก!.."






ซานิวะรั้งเอวข้าไว้ไม่ให้ขยับหนี ริมฝีปากยังคงปรนเปรอและเริ่มทรมานข้าด้วยแนวฟัน ข้ากัดฟันกรอด ปลายเท้าเกร็งด้วยความเสียวกระสั่นที่แล่นแปลบจนร่างสะท้าน ซานิวะขยับเร่งความเร็วใช้ริมฝีปากรูดเข้าออกสลับกับฟันครูดเบาๆจนขาข้าแทบทรุดเพราะความเจ็บปนสุขสม อีกฝ่ายคงเห็นว่าข้ายืนแทบไม่อยู่จึงรั้งตัวให้นอนลงทั้งที่ปากไม่หยุดเร่งจังหวะ บ้าจริง.. เหตุใดคนผู้นี้ถึงร้ายกาจนัก เขาไปร่ำเรียนเรื่องพวกนี้จากใครกัน!!






ข้าอยากจะตะโกนถามนักแต่ข้ามิอาจทำได้






"อะ อ๊า..ยะ หยุดนะ ....ข้าจะ..อึก.."






ของเหลวอุ่นร้อนถูกกลืนอย่างไม่รังเกียจทันทีเมื่อข้าไปถึงฝั่งฝัน ข้ารู้สึกสบายตัวที่ความอัดอั้นถูกอีกฝ่ายช่วยบรรเทาจนใกล้เคลิ้มหลับหากแต่ส่วนสำคัญที่เพิ่งเสร็จกิจกลับตื่นเต้นมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งเมื่อริมฝีปากที่เพิ่งเลียทำความสะอาดดูดหนักๆที่ปลายยอดจนสะดุ้ง ซานิวะถอนริมฝีปากที่แดงฉ่ำเงยหน้ามาจ้องมองข้าด้วยรอยยิ้ม เอ่ยเสียงทุ่มนุ่มราวกับเห็นใจท่ามกลางกลิ่นท้อที่ทวีความหอมหวานเข้มข้นจนสติเลือนลาง






"ลำบากท่านแล้ว.. แต่คราวนี้ข้าไม่เกรงใจละนะ.."
























วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558

[ตอนพิเศษ] บันทึกของซานิวะ 3::










::บันทึกซานิวะ 3::


ช่วงวัยที่จนใจจะหลีกเลี่ยง










"นายท่าน! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง!?" เสียงร้อนรนที่ดังอยู่ริมหูทำให้ข้าปรือตาขึ้นมองเจ้าของอ้อมแขนที่กำลังประคองร่างข้า ดวงตากวาดมองรอบตัวอย่างสำรวจก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างโล่งใจระคนยินดี





"สำเร็จสินะ.. ดีเหลือเกิน..แค๊กๆๆ"





"นายท่าน!! เลือด.." ข้ามองฝ่ามือเปื้อนโลหิตหลังตนเองปิดปากไอออกมาอย่างรุนแรง รสหวานเอียนพร้อมกลิ่นคาวคละคลุ้งอยู่เต็มปากทำให้ข้าแน่ใจว่าร่างกายนี้ไม่สามารถทนรับพลังมหาศาลที่เก็บกักมานานปีได้อีกแล้ว





"ไม่เอาน่ะคะชู.. อย่าทำหน้าเหมือนข้าจะตายเช่นนั้นสิ"





ข้ายิ้มบางๆเมื่อเห็นสีหน้าของศาสตราเล่มแรกของข้า คะชูยามนี้ขอบตาแดงก่ำเม้มปากแน่น สีหน้าย่ำแย่เหมือนเห็นข้าเป็นคนป่วยใกล้ตายอย่างไรอย่างนั้น ช่างเป็นเรื่องน่าปลื้มเสียจริงที่จะมีใครสักคนห่วงใยข้าเช่นนี้ แต่ข้าแน่ใจว่าตนเองจะมีอายุยืนยาวหากยอมรับชะตากรรมที่ตัวข้านั้นพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอดด้วยการสะกดพลังในดวงตาข้างขวา..





"ขะ ข้าไม่ได้คิดว่าท่านจะตายเสียหน่อย..แต่ท่านก็ห้ามตายนะ!!" เจ้าตัวเบนสายตาไปทางอื่นบ่นอุบอิบอย่างไม่ยอมรับ ข้าพยักหน้าน้อยๆกับคำสั่งของศาสตราผู้เป็นคู่หู





"กลับเรือนกันเถอะ.."





"แต่ใบหน้ากับดวงตาของท่าน.." คะชูชะงักคำพูดเมื่อข้าหันมอง คิดว่าเขาคงเพิ่งนึกออกว่าข้าเคยสั่งความอันใดเอาไว้ ข้ายิ้มอย่างไม่ถือสา ใช้มือสางเส้นผมด้านหน้านั้นกลับมาในที่ๆมันควรอยู่ก่อนเอ่ยชวนคะชูอีกครั้งราวไม่เคยมีประโยคใดก่อนหน้านั้นลอยผ่านหู





"ไปกันเถอะ"





"ขอรับ.."




......





มิคาสึกิอาการสาหัสนักแต่โชคุไดคิริกลับสาหัสยิ่งกว่า หากไม่มีเครื่องรางที่ข้ามอบให้ไว้โดคุไดคิริคงถึงคราวแตกดับไปตั้งแต่ในสนามรบแล้ว แต่ถึงกระนั้นสภาพดาบซึ่งเป็นร่างจริงของเขายามนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่าเกินเยียวยาจนไม่อาจมีวิธีใดรักษา





         นอกจากข้าจะทุ่มกำลังลงมือเอง..




ข้ามองร่างของศาสตราหนุ่มผู้มักใส่ที่คาดตาอันเป็นการระลึกถึงผู้เป็นนายคนแรกนอนหมดสติอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาเคร่งขรึม ข้าคิดว่าตนเองพอจะมีหนทางช่วยเหลือโชคุไดคิริ แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยสิ่งที่เท่าเทียมคุ้มค่าซึ่งข้ารู้ดีว่าในยามนี้ตนเองมีสิ่งใดที่สมราคาพอจะจ่าย.. แต่..





เฮอะ.. ข้าลำบากใจยิ่งนักที่นับจากนี้ไปตนเองต้องเผชิญหน้ากับสภาวะที่พยายามยื้อเวลามาโดยตลอด ถึงจะรู้ก็เถอะว่ายื้อไว้ได้อีกไม่นานแต่ก็ไม่คาดว่าจะรวดเร็วกันถึงเพียงนี้ นับตั้งแต่คลายผนึกที่ตาขวาข้าก็เริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั้นตัวขึ้นมาในทันทีที่ลืมตาตื่น แต่เอาเถิด.. อะไรจะเกิดก็คงต้องปล่อยให้มันเกิด จะฝืนธรรมชาติไว้ก็กระไรอยู่..





"โซสะเจ้าออกไปก่อน คอยดูแลศาสตราเล่มอื่นๆให้ดี หากไม่มีคำสั่งข้าห้ามใครเข้ามาในห้องนี้" โซสะยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาก่อนจะพยักหน้ารับคำสั่งอย่างว่าง่าย อ่า..ก่อนหน้านี้ข้าขึ้นเสียงใส่เขาตอนกำลังขาดสตินี่นะ ไว้เสร็จจากเรื่องนี้ข้าคงต้องออกไปหาซื้อของขวัญมาปลอบใจเขาเสียหน่อย..





ส่วนตอนนี้..





"เป็นโชคดีของเจ้าจริงๆนะที่ข้าไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้แล้ว" ข้าพึมพำหยอกเย้าแม้จะรู้ว่าร่างที่นอนอยู่ไม่มีทางได้ยินก่อนจะหยิบมีดสั้นซึ่งข้าพกติดตัวขึ้นมา มืออีกข้างจับรวบเส้นผมที่ยาวเกือบบั่นเอวนั้นและ..





ฉับ!





"อ่า..ตัดเบี้ยวไปเยอะเลยแหะ.." แต่ช่างเถอะไว้ข้าค่อยให้คะชูเล็มให้อีกที...





ข้าคิดพลางมองเส้นผมมากมายในมือที่เคยยาวสยายเต็มแผ่นหลังอย่างไม่คิดอาลัยอาวรณ์ เส้นผมที่มีมนต์อาคมอยู่เต็มเปี่ยมจากการพยายามกระจายพลังส่วนเกินซึ่งเล็ดลอดผนึกมานานปีคือค่าตอบแทนที่ข้าจะจ่าย ก็ไม่ได้มีอันใดเสียหายสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์นี่นะ..





อึก!..





"ตอนนี้เลยงั้นหรือ? หึหึ..ไม่คิดจะให้เตรียมใจกันเลยสินะ.." เหงื่อกาฬผุดพรายไหลมาตามหน้าผาก ร่างกายของข้ากำลังเข้าสู่สภาวะเปลี่ยนสภาพ





ต้องรีบแล้ว..



หากเป็นยามที่ร่างกายกำลังปรับเปลี่ยนเพื่อให้สามารถรองรับพลังเช่นนี้เกรงว่าจะใช้กำลังไปจนสิ้นสติเป็นแน่ ข้าพยายามรวบรวมสมาธิก่อนถือโอกาสรวมพลังบริสุทธิ์ที่กำลังทะลักทลายออกมาให้ไปอยู่ในเส้นผม ริมฝีปากกัดปลายนิ้วโป้งลากหยาดโลหิตที่ไหลซึมออกมาเป็นอักขระโบราณรอบร่างศาสตราที่นอนอยู่จนพื้นเสื่อคาตามิยามนี้กลายเป็นลวดลายอักษรคล้ายแผ่นยันต์





ระหว่างวาดเวทย์อาคมข้าก็พึมพำคาถาคืนสภาพ สมาธิตั้งมั่นแม้ร่างกายจะเริ่มรู้สึกหนักอึ้งขึ้นทีละน้อย แรงกดดันของพลังที่พวยพุ่งจากตาขวาราวทำนพแตกสร้างความปวดร้าวไปทั้งร่างราวตัวข้าเป็นศาสตราที่กำลังแตกสลาย แต่ข้าก็ไม่ได้ดิ้นรนต่อต้านอันใดเพื่อสะกดมัน อีกทั้งยังเอาพลังที่กำลังบดขยี้ข้าอยู่นี้ใส่ไปในโลหิตที่วาดออกมาเป็นอักษรยันต์





เมื่ออักษรตัวสุดท้ายถูกวาดข้าก็จัดการโยนเส้นผมทั้งหมดในมือขึ้นไปเหนือเขตแดนที่วาดไว้ พลันอักษรเลือดก็เปล่งแสงสีขาวสว่างจ้าก่อนจะเริ่มดูดกลืนเส้นผมที่สะสมพลังเหล่านั้นในฐานะเครื่องเซ่นสังเวยในขณะที่บาดแผลสาหัสสากรรจ์บนร่างกับความเสียหายของดาบโชคุไดคิริค่อยๆจางหายไปทีละน้อย ข้าที่นั่งหายใจหอบอยู่นอกเขตอาคมจึงยิ้มออก ข้าทำสำเร็จ.. บาดแผลของโชคุไดคิริจะอันตธานไปราวไม่เคยมีมาก่อน แค่นี้ข้าวางใจได้แล้ว..





เมื่อเห็นว่าผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ มันก็ถึงเวลาที่ข้าจะยินยอมพร้อมใจทิ้งร่างปล่อยกายให้ตนเองสิ้นสติไปกับความแสบร้อนซึ่งดวงตาขวายังคงกระหน่ำออกมาบดขยี้จนคล้ายกับว่าตัวข้ากำลังหลอมละลายด้วยความร้อนระอุของเปลวเพลิงในห้วงอเวจี..





แต่ข้ารู้ดีว่าเมื่อลืมตาตื่นข้าจะรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่..








..กับวัยเจริญพันธุ์ที่ข้าพยายามยื้อเวลาหลีกเลี่ยง..











[ตอนพิเศษ] บันทึกของซานิวะ 2::









::บันทึกซานิวะ 2::


ศัตรูใหม่ที่ใจไม่อยากต่อกร










สวรรค์กำลังกู่ร้อง..





ข้าละมือออกจากการเล็มต้นบอนไซเพื่อเงยหน้ามองท้องฟ้า แลเห็นกลุ่มเมฆสีดำทะมึนแปลกประหลาดกำลังก่อตัวรวมกันที่ยอดภูเขาอย่างน่าหวาดหวั่น ทันใดนั้นกระแสลมที่เคยอบอุ่นอ่อนโยนก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นกระโชกแรงประหนึ่งสัตว์ป่าที่กำลังคุ้มคลั่ง สัมผัสที่ได้รับคล้ายกับคมดาบที่กรีดผ่านผิว ขนอ่อนในกายข้าลุกชันทั่วร่างจากแรงกดดันอันไร้สาเหตุที่มา เกิดเหตุอาเพศอันใดกัน? ข้ารู้สึกใจไม่ดีเอาเสียเลย..





ข้าส่งศาสตรากลุ่มนึงออกไปสำรวจบริเวณรอบๆเพื่อหาความผิดปกติและสั่งให้ตามหน่วยลาดตะเวนที่ออกปฏิบัติหน้าที่กลับมาโดยเร็วด้วยความหวั่นใจ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ยกน้ำชาดื่มดับความกระวนกระวาย สองในสมาชิกหน่วยลาดตะเวนก็กลับมาถึงเรือนด้วยสีหน้าร้อนรน





"มีศัตรูเข้าประชิดขอรับ!! ท่านโชคุไดคิริขอกำลังเสริมโดยเร่งด่วน ข้าไม่แน่ใจว่ายามนี้ฝ่ายเราจะชนะหรือไม่..พลโล่ของฝ่ายเราถูกทำลายด้วยพลโยนหินของศัตรูจนสิ้นแล้ว"





เฮชิคิริกับโกโคไทรายงานสถานการณ์อย่างรวบรัด ข้าจึงส่งพิราบอาคมเรียกศาสตรากลุ่มอื่นให้กลับมาเพื่อจัดกำลังเสริม สถานการณ์ของหน่วยลาดตะเวนอาจจะไม่ได้ย่ำแย่นัก อย่างน้อยพวกนั้นก็ผ่านขั้นโทคุกันเกือบหมดแล้ว แต่ข้าก็ยังรู้สึกว้าวุ้นใจด้วยลางสังหรณ์ เมื่อนั่งเฉยๆแล้วรู้สึกร้อนใจข้าจึงกลับเรือนพักส่งสารไปสอบถามสถานการณ์กับเบื้องบนและเหล่าสหายซานิวะซึ่งประจำการอยู่ในเขตมิติอื่น บางทีอาจเป็นข้าที่กังวลไปเองฝ่ายเดียว แต่การสอบถามสถานการณ์โดยรวมเพื่อความมั่นใจก็ไม่ได้เป็นเรื่องหนักหนาอันใด..





ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมากลับสร้างความสะพรึงขวัญให้ข้าหวาดหวั่นเป็นยิ่งนัก..





เหล่าสหายร่วมอาชีพต่างตอบสารกลับมาด้วยเนื้อหาที่แตกต่างกันผ่านทางกระดานอาคม บ้างก็งุนงงสับสน บ้างก็คับข้องสงสัย แม้ส่วนมากจะไม่รู้เรื่องราวอันใดแต่กลับมีซานิวะหลายรายที่ถูกโจมตีในพื้นที่ประจำการด้วยน้ำมือของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ากองกำลังเหล่านั้นมาจากไหนหรือมีผู้ใดเป็นคนบงการอยู่เบื้องหลัง ซานิวะรายนึงกระจายสารรายงานสถานการณ์ของเขตตนในยามนี้ว่า





'มันคือกองทัพสีดำอันมีรูปร่างดั่งอมมนุษย์ที่ชั่วร้าย มันซึ่งเป็นผู้ไล่ล่าศัตรูเราและติดตามไล่สังหารเรา ดาบของข้าต่างดับสลายไปจนเกือบสิ้นแล้ว..'





สารฉบับนั้นได้สร้างความแตกตื่นอันใหญ่หลวงแก่เหล่าซานิวะต่างแดน แต่ละคนพยายามตั้งสติกันอย่างยากเย็น แม้แต่ข้าเองก็ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างหนาวเหน็บ อดใจหายไม่ได้ด้วยเข้าใจดีว่าหัวใจของซานิวะผู้นั้นกำลังบอบช้ำเพียงใด





สำหรับซานิวะแล้วเหล่าศาสตราก็ไม่ต่างไปจากพี่น้องครอบครัวที่เติบโตมาด้วยกัน แต่อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้? แล้วจะมีทางรับมือกับกองกำลังสีดำนั้นได้หรือไม่? กองทัพอมมนุษย์ที่ไล่สังหารผู้พยายามเปลี่ยนแปลงชะตากรรมเช่นศัตรูข้า แต่ก็ยังหันกลับมาสังหารผู้ปกป้องอดีตกาลเช่นพวกข้า





กองกำลังนี้ออกไล่ล่าทั้งสองฝ่ายเพื่อสิ่งใดกัน?







และแล้วการรอคอยอันแสนเนิ่นนานในความรู้สึกก็สิ้นสุดลงเมื่อเบื้องบนส่งสารกลับมาไขข้อข้องใจให้พวกข้าได้รู้ว่าตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับสิ่งใด





มันคือกองทัพของผู้วายชนม์..





การรุกรานของสิ่งแปลกปลอมที่กำลังจะบิดเบือนเรื่องราวของยุคสมัยด้วยการต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงนี้ได้ทำให้จิตวิญญาณที่ต้องการปกป้องแผ่นดินตื่นจากการหลับใหล จิตวิญญาณของนักรบซึ่งทุ่มเทเพื่อแผ่นดินมากล้นแต่กลับต้องสิ้นลมไปอย่างตรอมตรมเพราะบุคคลทางสายเลือดที่เคยให้คำมั่นว่าจะคอยดูแลซึ่งกันและกัน กองทัพสีดำนั้นคือจิตวิญญาณและปณิธานอันยิ่งใหญ่ของผู้กล้าซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในปลายยุคสมัยเฮอัน..





..มินาโมโตะ โนะ โยชิสึเนะ..







'หากเป็นเช่นนี้พวกเราควรทำอย่างไรกัน?'





'พวกเรามีหน้าที่ปกป้องประวัติศาสตร์ แต่หากต้องสู้กับจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นจะเรียกว่าปกป้องประวัติศาสตร์ได้อย่างไร!!'





'แล้วข้าจะทำหน้าที่ได้อย่างไรในเมื่อจิตวิญญาณของท่านโยชิสึเนะไม่ยอมรามือไปเช่นนี้'





"นายท่าน!! นายท่านขอรับ!!"





เสียงตะโกนด้านนอกเรือนดังขึ้นทำให้ข้าต้องละความสนใจจากกระดานอาคม เสียงนี้..มิดาเระ? เจ้าตัวบุกเข้ามาถึงเขตเรือนข้าเช่นนี้เกิดเรื่องร้ายแรงใดกัน? ข้าเก็บกระดานอาคมก่อนจะก้าวออกจากเรือน สีหน้าย่ำแย่ของมิดาเระทำให้ข้าใจหาย ร่างกายยิ่งเย็นเหยียบดั่งจมอยู่ใต้ธารน้ำแข็งเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากรายงานสิ่งที่เป็นดั่งฝันร้ายของข้า





"หน่วยลาดตะเวนกลับมาแล้วขอรับ โฮริคาวะกับมุสึโนะคามิบาดเจ็บพอสมควร ท่านมิคาสึกิอาการค่อนข้างสาหัส แต่ท่านโชคุไดคิริ..."





"โชคุไดเป็นอย่างไร.." ข้าเอ่ยเสียงแผ่ว ดวงตาซึ่งยามปกติจะมีแต่ความร่าเริงของมิดาเระสั่นไหว หยาดน้ำตาเอ่อคลอจนล้นปริ่มขอบตา เขาเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะหลับตาส่ายหน้าเร็วๆคล้ายอยากจะหนีความจริง





"ดาบของท่านโชคุไดคิริร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าเกรงว่าท่านโชคุไดคิริจะ.. นายท่าน! รอข้าด้วยขอรับ!!"





แต่ข้าไม่ได้สนใจฟัง อารมณ์ของข้ายามนี้รุนแรงยิ่งกว่าพายุที่โหมกระหน่ำ ยิ่งได้เห็นสภาพของเหล่าศาสตราที่ข้าภาคภูมิใจข้ายิ่งแค้นเคือง อารมณ์หลากหลายที่ทับทมราวไฟที่กองสุมกันแทบจะทำให้ทั้งร่างระเบิดมอดไหม้ ไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้กระทำมันจะต้องชดใช้!!!





"ไม่มีเวลาแล้ว! ทำตามที่ข้าสั่งเรื่องอื่นค่อยว่ากัน!!"





น้ำเสียงอาฆาตแค้นที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากตนเองทำให้ข้าได้สติอีกครั้ง แลเห็นเหล่าศาสตรากำลังมีสีหน้าหวาดกลัวข้าก็นึกต่อว่าตนเองที่เผลอปล่อยให้ความแค้นเข้ามาครอบงำจนดวงตามืดบอด ข้าหลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบอารมณ์ก่อนจะปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลลงเพื่อสั่งการใหม่ พวกศาสตราควรได้อยู่ในที่ปลอดภัย





ข้าต้องย้ายที่ตั้งเรือนใหม่..





ข้าสั่งให้ศาสตราเล่มอื่นๆพาศาสตราที่บาดเจ็บเข้าเรือน ยกเว้นโควเสะสึ คะชู โคกิทสึเนะ นาคิกิสึเนะที่ข้าต้องยืมมือในการปักเขตอาคม โควเสะสึมักถือศีลเป็นประจำจิตวิญญาณของเขาจึงสว่างไสวพอจะเป็นกำลังหนุนไม่ให้ข้าเปลืองแรงมากนัก โคกิทสิเนะกับนาคิกิสึเนะเป็นจิตวิญญาณอันถือกำเนิดจากเสี้ยวพลังส่วนหนึ่งของเทพจิ้งจอกอินาริ การมีพวกเขาอยู่ช่วยจึงลดภาระของข้าได้มาก คะชูแม้จะไม่สามารถช่วยเหลือข้าในการปักเขตอาคมแต่ข้ามั่นใจว่าเขาจะสามารถดูแลข้ายามไร้เรี้ยวแรงจากการใช้พลังเกินขีดจำกัด





ข้าอธิบายวิธีการให้พวกเขาฟังคร่าวๆโดยการให้พวกเขาถือกิ่งต้นท้อที่ข้าตัดออกมาในขนาดเท่าๆกันแล้วปักลงพื้นรอบอาณาเขตเรือนตามตำแหน่งจตุรทิศ และให้พวกเขาจับกิ่งท้ออยู่ด้านในอาณาเขตนั้นเช่นเดียวกับข้าที่คุกเข่าลงเบื้องหน้ากิ่งท้อที่ปักลงในทิศอุดร ในใจข้าเกิดความกังวลว่าร่างกายนี้จะใช้พลังได้ไม่เต็มที่หากยังคงมีสิ่งที่ตนเองคอยผนึกอยู่.. แต่ข้าก็ตัดสินใจโยนความลังเลทิ้งไปเพราะนี้ไม่ใช่เวลามาห่วงตัวเอง ข้ายังมีสิ่งสำคัญกว่าที่ต้องทุ่มเทปกป้อง




เหล่าศาสตราผู้เป็นเสมือนครอบครัวของข้า







"คะชู.."





"ขอรับ?"





"ไม่ว่าเจ้าจะเห็นสิ่งใด หลังจากนี้จงลืมมันเสีย เข้าใจหรือไม่?" แม้คะชูจะมีสีหน้าฉงนสงสัยกับคำกล่าวของข้าแต่เขาก็ยอมพยักหน้ารับคำ ข้ายิ้ม รู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวเป็นศาสตราที่ไว้ใจได้




         เช่นนี้ก็ไม่มีอันใดให้ลังเลอีกแล้ว..





ข้าค่อยๆหลับตาลง คลายผนึกที่สะกดบางสิ่งซึ่งแฝงเร้นอยู่ในตัวมาเนิ่นนานนับตั้งแต่อายุย่างเข้า17 ขุมพลังอันเข้มข้นที่ค่อยๆแผ่ขยายจากดวงตาขวาทำให้ทั่วร่างเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายมนตราตามชาติพันธุ์ ริมฝีปากพึมพำคาถาเพื่อกางเขตอาคมคุ้มกันภัยอีกทั้งเปิดเขตแดนที่ต้องใช้ในการข้ามมิติ ในระหว่างทำพิธีข้าก็คล้ายจะได้ยินเสียงอุทานแผ่วมาจากศาสตราข้างตัว





"นายท่าน ใบหน้าของท่าน!!"





สายลมพัดที่เป็นระลอกโดยมีข้าเป็นศูนย์กลางได้ทำให้เรือนผมที่คอยอำพรางใบหน้าและดวงตาด้านขวาปลิวสยายไปทางด้านหลัง เปิดเปลือยส่วนที่ข้าหวงแหนให้อีกฝ่ายได้เห็นเป็นครั้งแรกแต่ข้าก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก ด้วยในใจมุ่งมั่นแต่จะปกป้องสิ่งที่มีอยู่





ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดครึ้ม กลุ่มเมฆที่ลอยจับตัวหนาส่งเสียงดังระงมประหนึ่งอสูรกายกำลังกู่ร้อง เส้นสายอัสนีตัดผ่านท้องนภาไปสายเล่าสายเล่าจนเกิดเสียงดังกัมปนาทสะเทือนทั่วพื้นแผ่นดินราวกับเป็นความพิโรธของเทพสวรรค์ สัมผัสบางอย่างที่อยู่นอกอาณาเขตเรือนกำลังเคลื่อนตัวใกล้เข้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ด้วยความรวดเร็วทำให้ข้าต้องกัดฟันทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อบังคับเปิดเขตแดนไปยังมิติอื่นที่ปลอดภัยกว่า อีกนิดเดียว.. ขอเวลาให้ข้าอีกนาทีเดียวข้าก็จะ..





เปรี๊ยง!!!! 









วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

::ห้วงคิดที่ 8::













::บทที่ 8::


วันวานช่างผ่านไวนัก








ใบหน้าสง่างามหมดจดกำลังมีรอยยิ้มบางๆ ดวงตาสีครามด้านซ้ายชวนให้คนมองพิศวงงุนงงเมื่อในนัยน์ตาไม่ได้เป็นรูปทรงกลมแบบที่มนุษย์ทุกคนพึงมี มันดูเรียวรีเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นที่ข้าไม่รู้จัก เรือนผมสีเหมันต์ที่ยาวเกือบจรดบั่นเอวยามนี้สั้นลงกลายเป็นทรงรากไทร์ยาวเคลียบ่า ผมด้านหน้าที่เคยไว้ยาวปิดใบหน้าซีกขวาถูกตัดออกเปิดเปลือยผิวหน้าให้ผู้อื่นได้เห็นกันชัดแต่บริเวณดวงตาที่เจ้าตัวหวงแหนกลับถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว





เรือนร่างที่เคยอยู่ในวัยผ่านพิธีเก็มปุคุบัดนี้กลับแปรเปลี่ยนไปจนข้าเริ่มไม่แน่ใจว่า ตกลงแล้วที่ผ่านมาข้าฝันไปหรือเวลานี้ข้ายังไม่ตื่นจากห้วงแห่งการหลับใหลกันแน่ เด็กหนุ่มที่ข้าเคยลอบมองด้วยความคับข้องใจเติบใหญ่กลายเป็นบุรุษเต็มตัวแล้วอย่างนั้นหรือ? หรือที่อยู่ตรงหน้าข้านี้เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่บังเอิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับคนผู้นั้นกัน?





        คนผู้นี้คือซานิวะ?





"ท่านเป็นอะไรไป? หรือยังมีบาดแผลใดสร้างความเจ็บปวด?"





ร่างที่ขยับเท้าก้าวเข้าหาช่างสร้างความประหวั่นพลันพรึงให้ผู้อื่นตกตะลึงยิ่ง ข้าทั้งประหลาดใจ ไม่แน่ใจ และรู้สึกไม่อยากเชื่อจันทร์เสี้ยวในนัยน์ตาตนเองเป็นที่สุด คนผู้นี้ดูไม่เหมือนซานิวะที่ข้ารู้จักเลยแม้แต่น้อย แต่สำเนียงเสียงแบบเด็กหนุ่มเมื่อวันวานยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้างทำให้ข้าจำต้องเชื่อว่านี่คือซานิวะจริงๆ แต่เหตุใดจึง..





"ฮ่าฮ่าฮ่า เด็กๆก็เติบโตกันรวดเร็วเช่นนี้นี่เองสินะ.. เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน"





ข้าหัวเราะพลางยิ้มกลบเกลื่อน ในใจเริ่มเกิดความวิตกเล็กๆว่าอาการบาดเจ็บอาจจะทำให้ข้าหลับใหลจนเวลาล่วงเลยมาหลายปีแล้วก็เป็นได้ ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มตรงหน้าข้านี้แทบไม่เหลือเค้าความบอบบางราวสตรีให้ผู้คนสับสนอย่างแต่ก่อน มองอย่างไรก็เป็นบุรุษรูปงามประหนึ่งขุนนางอนาคตไกลในราชสำนักเสียมากกว่า ซานิวะหัวเราะเมื่อได้ฟัง ดวงตาสีครามอันแปลกประหลาดเกินมนุษย์ปรากฏร่องรอยขบขันอย่างชัดเจน เขาทรุดกายนั่งลงเบื้องหน้าข้าก่อนเอ่ยปาก





"ท่านหลับไปสามวันคงรู้สึกหิวเป็นแน่ ข้าสั่งให้คนเตรียมโจ๊กไว้แล้ว เดี๋ยวคงมีใครยกมาให้.."





        สามวัน!!






ข้าตะลึงกับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้ อารมณ์ของข้ายามนี้คงยากแก่การทำใจให้สงบได้จริงๆ สามวันงั้นหรือ? ข้าหลงคิดว่าตนเองหลับใหลจนเวลาผ่านไปไม่ต่ำว่าสามปีแล้วเสียด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดอีกฝ่ายจึงอยู่ในรูปลักษณ์เช่นนี้กัน? เขาในยามนี้ไม่น่าจะมีอายุเกิน20ปี..





นี่มันเกิดเรื่องบ้าอันใดกัน!!





"ท่านคงสับสนกับสภาพของข้าอยู่สินะ.." ซานิวะมีสีหน้าลำบากใจเมื่อเห็นสายตาข้องใจของข้า เขาถอนหายใจราวกับปลงตกก่อนจะยอมเอ่ยปากอธิบาย





"ท่านคงทราบดีว่าซานิวะเป็นตำแหน่ง มิได้เป็นนามของข้า"





"ฮะฮะ ใช่..ข้ารู้เรื่องนี้อย่างกระจ่างชัด" แต่สิ่งใดที่ทำให้เจ้าเด็กน้อยเมื่อสามวันก่อนกลายเป็นหนุ่มเต็มตัวในวันนี้กัน? เหมื่อนจะรู้ว่าข้าอยากฟังสิ่งใดชายหนุ่มผมสีเหมันต์ตรงหน้าจึงเอ่ยต่อ





"ซานิวะทุกคนล้วนมีพลังในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและสร้างกายเนื้อให้จิตวิญญาณเช่นท่าน ทว่านั่นไม่ใช่พลังอย่างเดียวที่เหล่าซานิวะต่างมีในครอบครอง แต่ละคนล้วนมีความถนัดหรือความสามารถที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเกิดจากพรสวรรค์หรือชาติกำเนิด ตัวข้าที่เป็นเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติตามวัยของข้า.."





"หืม?.. งั้นคงเป็นตาเฒ่าเช่นข้าเองสินะที่ตื่นตกใจง่าย ฮ่าฮ่าฮ่า"





ข้าเอ่ยเย้าอย่างคลายกังวลไปได้บางส่วน อ่า.. แต่ถึงอย่างไรก็ดูไม่น่าเชื่อจริงๆเลยนะ นี่หรือเปล่านะที่เขาว่ากันว่าบิดามารดายามมองบุตรเติบใหญ่ก็มักย้อนนึกถึงวันวาน สามวันผ่านจากหนุ่มน้อยในวันนั้นก็กลายมาเป็นชายหนุ่มในวันนี้เสียแล้ว





"นี่ท่าน.. อย่าหัวเราะมากได้หรือไม่ ถึงบาดแผลจะสมานกันได้ส่วนใหญ่แต่แผลที่ลำตัวท่านสาหัสนัก ได้รับแรงกระเทือนมากๆอาจปริแตกได้"





"เป็นห่วงบาดแผลข้างั้นหรือ? ดีใจจัง..ข้าก็ว่าทำไมเริ่มรู้สึกเจ็บๆ ฮ่าฮ่าฮ่า"





ซานิวะส่ายหัวด้วยสีหน้าอ่อนใจก่อนจะขอดูสภาพบาดแผลใต้ร่มผ้า ข้าจึงต้องถอดแขนเสื้อออกข้างนึงเพื่อแหวกชุดให้อีกฝ่ายได้ดูชัดๆ คมดาบของศัตรูได้สร้างบาดแผลบนหน้าท้องลากยาวไปเกือบถึงบั้นเอว ซึ่งยามนี้บาดแผลดังกล่าวกำลังปริแตกและมีเลือดไหลซึมออกมาจนผ้าพันแผลเปียกชุ่ม ตอนแรกข้าคิดว่าจะมีแต่แผลเล็กน้อยที่ไหล่กับแขนเสียอีก ถึงว่าครานั้นโคกิทสึเนะจึงมีสีหน้าย่ำแย่เหลือเกินยามเห็นสภาพของข้า





"แผลปริจริงๆเสียด้วย ข้าควรสั่งห้ามมิให้ท่านหัวเราะจนกว่าแผลตรงนี้จะหายดีหรือไม่?"





"หืม?..ช่างเป็นภารกิจที่น่าหนักใจจริงๆ แต่ข้าก็จะพยายามนะ ฮะฮะฮะ" แต่ข้ารู้สึกไปเองหรือเปล่านะว่าคนผู้นี้ยอมเปิดใจสนทนากับข้ามากกว่าแต่ก่อน เขาเลิกตั้งแง่กับข้าแล้วหรือ?





หรือเพราะร่างกายเติบโตขึ้นความคิดอ่านจึงเติบใหญ่ตาม?





"ยังไม่ทันขาดคำเลย..เห็นหรือไม่ว่าเลือดท่านกำลังไหล แบบนี้คงใส่ยาไม่ได้เป็นแน่"





อีกฝ่ายเอ่ยต่อว่าข้าอย่างไม่ค่อยจริงจังนักพลางใช้ผ้าเช็ดหน้ากดปากแผลไว้เพื่อห้ามเลือด แต่เจ้าตัวกลับมีสีหน้ายุ่งยากใจอย่างประหลาด ข้านึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ครั้งที่ซานิวะพยายามอาเจียนเอากับข้าวที่ปนเปื้อนเนื้อสัตว์ออกมาก็พอจะเข้าใจ เจ้าตัวคงรู้สึกลำบากใจที่จะแตะต้องโลหิตหรือชีวิตของผู้อื่นสินะ..





"งั้นรบกวนนายท่านช่วยไปตามเด็กๆมาทำแผลให้ข้าเถอะ" ในขณะที่พูดอยู่ข้าก็นึกประหลาดใจตนเองนัก เหตุใดข้าจึงใส่ใจกับสีหน้าการกระทำของซานิวะมากมายถึงเพียงนี้? จะว่าไปก็ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ไม่ว่าเจ้าตัวจะทำสิ่งใดจันทร์เสี้ยวของข้าก็เป็นต้องเคลื่อนตัวตามไปรับรู้ด้วยแทบทุกครา..





เหตุใดข้าต้องใส่ใจว่าคนผู้นี้จะคิดอย่างไรกับข้ากัน?





สีหน้าของซานิวะย่ำแย่เป็นยิ่งนัก นัยน์ตาสีครามที่สบกับจันทร์เสี้ยวดูลังเลเล็กน้อยก่อนจะมีสีเข้มขึ้นคล้ายคนตัดสินใจแน่วแน่จนข้าคิดว่าตนเองหน้ามืดจากการเสียเลือด เขาส่ายหน้าปฏิเสธคำขอก่อนจะผละมือจากการกดห้ามเลือดแล้วฉีกผ้าพันแผลที่พันรอบออกในขณะที่ข้านั่งกระพริบตามองด้วยความงุนงง






"นะ นี่.. เดี๋ยว ท่านจะทำสิ่งใดกัน เฮ..ซานิว--!!!"





ข้าอ้าปากค้างกับการกระทำของคนตรงหน้าเมื่ออยู่ๆอีกฝ่ายก็ฉีกผ้าพันแผลของข้าออกแล้วก้มหน้าลงมาเลียแผล มือของข้ารีบดันร่างที่กำลังหายใจรินรดอยู่เหนือบาดแผลแต่กลับไร้ผล มือของอีกฝ่ายยึดมือทั้งสองของข้าไว้กับฟูกไม่ให้กวนใจส่งผลให้ข้าต้องเอนตัวไปด้านหลัง ใบหน้าของซานิวะจึงเข้าถึงแผลได้อย่างถนัดถนี่ ลมหายใจอุ่นๆและลิ้นที่ไล่เลียไปตามผิวเนื้อบริเวณปากแผลสร้างความสยิวให้ร่างกายร้อนวูบวาบจนลมหายใจติดขัด





"ปละ ปล่อยข้านะซานิวะ ท่านตั้งใจจะทำอันใดกัน.." ข้าพยายามขัดขืนให้ตนเองรอดพ้นจากสถานการณ์อันน่าหวาดหวั่น คนตรงหน้าไม่รู้หรือไรว่าการกระทำเช่นนี้มันเป็นการปลุกเร้าปีศาจร้ายในกายข้า!!






ฟึบ!!






ทั้งที่ข้าเป็นจิตวิญญาณดาบอายุหลายร้อยปี พละกำลังของข้าจึงมีเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปหากตั้งใจจะหลุดจากการจับกุมของใครข้าย่อมต้องรอดพ้น ต่อให้ตนเองบาดเจ็บอยู่ก็ไม่มีทางที่จะดิ้นไม่หลุด ทว่าคนตรงหน้ากลับดันร่างข้าให้อยู่ติดฟูกได้อย่างไม่ยากเย็น ข้าถูกอีกฝ่ายกดลงบนที่นอนอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แม้จะดิ้นรนอย่างไรอีกฝ่ายก็เหมือนจะไม่สะท้านสะเทือน





"อยู่เฉยๆ..ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าแล้วจะดีเอง.."





เสียงทุ่มต่ำของอีกฝ่ายทำเอาหัวใจข้าไหวสะท้าน นี่เขาคิดจะทำอันใดกัน เรื่องไม่ดีไม่งามที่ผุดขึ้นมาในหัวชักจะทำให้ข้าหวั่นใจ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้คิดเช่นนั้นเมื่อใบหน้าสง่างามราวขุนนางด้านบนทำเพียงโน้มเข้าหาบาดแผลเหมือนตั้งใจจะเช็ดทำความสะอาด





ข้าก็ไม่รู้ว่าซานิวะไปได้ยินผู้ใดกล่าวมาว่าการเลียแผลช่วยห้ามเลือดได้ แต่ยามนี้ข้ากำลังจะตายทั้งเป็นกับการกระทำของอีกฝ่าย เบื้องล่างของข้าพองตัวตื่นจากนิทรา มันร้อนจัดตีงแน่นจนปวดร้าวแทบระเบิด จันทร์เสี้ยวในนัยน์ตาพร่าเลือนด้วยอารมณ์ปราถนาอันแสนต่ำช้าของบุรุษที่ข้าไม่อาจควบคุมได้





อึก..



ข้ากัดริมฝีปากพยายามสะกดกลั้นความต้องการ ไม่อาจยอมรับได้ว่าเพียงเพราะถูกลมหายใจกับปลายลิ้นนั้นโลมเล้าข้าก็ถึงกับเกิดอารมณ์ตัญหาขึ้นมาอย่างหน้ามืดตามัว รู้สึกต้องการจนอยากจะกระชากร่างด้านบนลงมาบดขยี้ด้วยความหิวกระหาย อยากเหยียดกายโหมกระหน่ำเข้าสู่ร่างของอีกฝ่ายเพื่อที่ความทรมานจากความปราถนานี้จะได้สิ้นสุดลงเสียที





"ข้ารักษาให้ท่านแล้ว อีกไม่กี่วันแผลนี้คงจะตกสะเก็ด.."





ซานิวะซึ่งยามนี้โน้มตัวอยู่เหนือร่างข้าเอ่ยเสียงแหบพร่าเจืออารมณ์บางอย่างอยู่เล็กน้อย ชายหนุ่มเห็นสีหน้าของข้าก็มิได้เอ่ยคำใดนอกจากเบียดกายกอดข้าไว้แนบแน่น ราวกับเขาเข้าใจดีว่าข้ากำลังสูญเสียการความคุมและรู้สึกอับอายยิ่ง บาดแผลของข้าเป็นอย่างไรในยามนี้ข้าไม่มีเวลาใส่ใจนอกจากการพยายามต่อสู้กับสัญชาตญาณดิบอย่างสุดความสามารถ เจ้าของอ้อมแขนซบหน้าลงกับไหล่ข้า เสียงแผ่วจางของเขาทำให้ข้าขุ่นเคืองนักแต่ทว่าก็รู้สึกอบอุ่น..





"หากท่านพร้อมเมื่อใดข้าจะปล่อยตัวท่าน.."





ข้าไม่ตอบคำใดนอกจากทอดถอนใจกับตนเอง หลงคิดว่าอีกฝ่ายจะเติบโตขึ้นตามวัยแต่ที่ไหนได้.. ไม่ว่าจะเป็นสามวันก่อนหรือในยามนี้ สุดท้ายแล้ว..





..คนผู้นี้ก็ยังคงสร้างความคับข้องใจให้ข้าเหมือนเคย..


















วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

::ห้วงคิดที่ 7::












::บทที่ 7::


คนแก่มักอายุยืน













เสียงความวุ่นวายรอบตัวทำให้ข้าค่อยๆรวมร่วมลำดับความคิดอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางสติอันเลือนลางสิ่งที่ได้ยินคงเป็นผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นถึงหายนะซึ่งไม่มีผู้ใดคาดฝัน..





      แม้แต่ข้า..






"นี่มันเกิดเรื่องบ้าอันใดกัน!! เหตุใดพวกท่านจึงมีสภาพปางตายกันเช่นนี้!!"





          เสียงนั้นเป็นของใครกันนะ?





"ลืมตาขึ้นมามองข้าเดี๋ยวนี้โฮริคาวะ!!"





          เสียงแบบนี้.. คาเนะซาดะแน่ๆ..





"ไปแจ้งนายท่านให้ทราบด่วน แข็งใจไว้ก่อนโชคุไดคิริ!!"





        แล้วนั่น..อ่า..โซสะหรอกหรือ? โชคุไดคิริ..?



                        อ่า..ใช่.. เขาเจ็บหนักที่สุดผู้อื่นจึงกลุ้มใจมากเป็นธรรมดา





"นายท่านทราบเรื่องแล้ว ท่านกำลังมา ไหวหรือไม่มุสึโนะคามิ"





           นั่นก็คะชู.. 





"มิคาสึกิ.."





           ส่วนนี่ก็..





ข้าค่อยๆเผยจันทร์เสี้ยวมองเจ้าของเสียงที่เรียกหา




"เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้นกันโคกิทสึเนะ ฮะฮะฮะ" เจ้าของนามขมวดคิ้วก่อนต่อว่าต่อขานอย่างระอากับความขบขันอันผิดสถานการณ์ของข้า





"ท่านอยู่ในสภาพนี้ยังจะทำเป็นเล่นอีกนะ สิ่งที่เฮชิคิริบอกแก่นายท่านไม่น่าจะทำให้จิตวิญญาณดาบสองเล่มมีสภาพเกือบแตกดับกันเช่นนี้.. เกิดอันใดขึ้นกันแน่?"





จันทร์เสี้ยวของข้าเหลือบมองร่างกายตนเองที่บาดเจ็บหนักหนาอยู่ไม่น้อยก่อนจะเบนสายตาไปยังความวุ่นวายด้านข้างด้วยความรู้สึกหดหู่ ด้วยข้าเองก็ไม่คาดคิดว่าชัยชนะที่เกือบจะเอื้อมไปถึงจะกลับกลายเป็นพวกข้าได้หลุดเข้าไปอยู่ในห้วงอเวจีกันเสียได้ จนถึงขณะนี้ข้าก็ยังคงรู้สึกมึนงงกับสิ่งที่พวกข้าเพิ่งได้ประสบมา ในขณะที่ข้ากำลังลำดับเหตุการณ์ด้วยความสับสน เสียงกรีดร้องอย่างไม่สามารถระงับอารมณ์ก็ทำเอาใจหล่นวูบ





"นายท่านขอรับ! นายท่านอยู่ไหน โชคุไดคิริเขา..นายท่าน!!"





"นั่นๆ นายท่านมาแล้ว"




ซานิวะที่ดาบทุกเล่มต่างร้องเรียกหาก้าวเข้ามายังพวกข้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาเหลือบมองข้ากับดาบเล่มอื่นที่บาดเจ็บหนัก ริมฝีปากเม้มแน่นจนเกือบห้อเลือดสีหน้าและดวงตาสีฟ้าครามเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงอารมณ์ที่มืดดำเข้มข้นประหนึ่งเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชติช่วง





"เรียกศาสตราทุกเล่มเข้าไปในเรือน" เขาออกคำสั่งแรกด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด





"แต่นายท่านขอรับ โชคุไดคิริเขา.."





"ไม่มีเวลาแล้ว! ทำตามคำสั่งข้าเรื่องอื่นค่อยว่ากัน!!"





ซานิวะตวาดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความอาฆาตแค้นอย่างที่สุด มือของคนผู้นั้นกำหมัดจนสั่นระริกคล้ายพยายามระงับอารมณ์ตนเองอย่างสุดความสามารถ เขาหลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึกๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้นมองบรรดาดาบทั้งหลายที่พากันเงียบกริบด้วยความตื่นตกใจ ดวงตาสีฟ้าครามนั้นเหมือนจะแปรเปลี่ยนไปในความรู้สึกของข้า สภาพของข้าตอนนี้ทำอะไรไม่ค่อยสะดวกนักแม้แต่การครุ่นคิดแต่อาการแข็งค้างเกร็งไปทั้งร่างของดาบอื่นๆก็ทำให้ข้าพอจะรู้ว่าสีหน้าอารมณ์ของซานิวะยามนี้น่ากลัวเพียงใด ดาบแต่ละเล่มคงรู้สึกไม่อยากเชื่อสายตาตนเองว่าเจ้านายผู้อ่อนโยนสุขุมเยือกเย็นจะมีวันที่สูญเสียการควบคุมเช่นนี้





"โควเสะสึ คะชู โคกิทสึเนะ นาคิกิสึเนะ พวกเจ้าตามข้ามา ให้ที่เหลือพาศาสตราที่บาดเจ็บเข้าไปในเรือน ข้าขอสั่งพวกเจ้าทุกเล่มห้ามย่างเท้าออกจากเรือนเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นด้านนอกก็ตาม เข้าใจหรือไม่?"





"ขะ..ขอรับ พวกข้าจะรีบทำตามที่ท่านสั่งไว้ทันที"





โซสะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่คล้ายเจ้าตัวพยายามฝืนไม่ให้ปล่อยโฮ เขาเป็นดาบในร่างชายหนุ่มที่อารมณ์อ่อนไหวกับเจ้านายที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ ข้าเห็นซานิวะตบบ่าโซสะคล้ายต้องการปลอบใจผ่านทางจันทร์เสี้ยวที่เริ่มพร่าเลือนอ่อนแสงมากขึ้นเรื่อยๆ แผ่นหลังของคนผู้นั้นดูคล้ายกับจะจางหายไปในแสงสว่างสีขาวที่ค่อยๆขยับขยายคืบคลานเข้ามาใกล้ข้า จนกระทั้งจันทร์เสี้ยวในดวงตาไม่อาจสาดแสงต่อกรได้อีกต่อไป..






.........................





..............





....





..







เมื่อข้าลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนได้ถูกพากลับมาที่ห้องพักเรียบร้อยแล้ว นี่ข้ายังไม่ดับสลายงั้นหรือ? ข้าก้มมองสำรวจบาดแผลก่อนต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าอาการบาดเจ็บอันหนักหนาที่ข้าคิดว่าต้องเข้าโรงตีดาบเพื่อซ่อมแซมกลับหลงเหลือเพียงร่องรอยความเจ็บปวดอันเบาบาง นี่มันเรื่องอันใดกัน?





ครืด..





"โอ้.. ท่านฟื้นแล้ว" ฮาจิสึกะเลื่อนประตูฉากกั้นเข้ามาก่อนมีรอยยิ้มโล่งใจ





"คนแก่ก็อายุยืนแบบนี้ละนะ ฮะฮะฮะ" ข้าเอ่ยตอบรับ แน่ละ ใครจะอยากดับสลายกันในเมื่อข้ายังมีความสุขกับการได้เฝ้ามองความเป็นไปของโลกใบนี้ ฮาจิสึกะนั่งคุกเข่าลงข้างฟูกนอนข้าก่อนขอตรวจดูบาดแผล ข้าจึงใช้โอกาสนี้ถามเหตุการณ์ต่างๆระหว่างที่ข้าหมดสติไป





"หลังจากที่ดาบทุกเล่มเข้าเรือน นายท่านก็กางเขตอาคมปกป้องอาณาเขตทั้งหมดไว้ก่อนที่ท่านจะใช้พลังนำพาทุกคนมายังสถานที่แห่งนี่ นายท่านกล่าวว่าที่เดิมไม่อาจให้ความปลอดภัยได้อีกแล้วจึงต้องย้ายที่ตั้งเรือนใหม่"





ข้าครุ่นคิดกับสิ่งที่ได้ยินแต่ดูเหมือนว่าข้าคงจะคิดอะไรชัดเจนเกินไปหน่อย ฮาจิสึกะจึงเอ่ยปากอธิบายเมื่อแลเห็นถึงความกังขามากมายบนใบหน้าข้า





"ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าสถานที่แห่งนี่คือที่ไหน แต่นายท่านได้กล่าวกับดาบทุกเล่มว่าไม่ใช่ยุคสมัยเดียวกับที่อยู่มาคราแรก ยุคสมัยของสถานที่ตั้งเรือนในอดีตยามนี้ถูกผู้บุกรุกเข้ายึดครองแล้ว จริงสิ..นายท่านกำชับว่าหากท่านฟื้นแล้วให้รีบบอก ข้าต้องขอตัวก่อน อีกเดี๋ยวนายท่านคงจะมาเยี่ยมท่านแน่"





"เข้าใจละ งั้นข้าจะรอนะ" ข้ามองแผ่นหลังของฮาจิสึกะที่ค่อยๆถูกบดบังด้วยฉากกั้น มองเงาร่างที่ทาบผ่านค่อยๆเดินห่างออกไปแล้วข้าจึงเริ่มเรียงลำดับเหตุการณ์ช่วงก่อนหมดสติอีกครั้ง





ข้าจำได้ว่าตนเป็นผู้นำหน่วยลาดตะเวนออกไปสำรวจพื้นที่ แต่ขากลับๆถูกศัตรูเข้าโจมตีอย่างไม่มีเวลาให้สอดแนมเพื่อรับมือ โชคุไดคิริซึ่งเป็นรองหัวหน้าหน่วยสั่งให้เฮชิคิริพาโกโคไทกลับฐานมาขอกำลังเสริม ส่วนพวกข้ายังคงยืนหยัดรับมือกับศัตรู แล้วอย่างไรต่อน่ะหรือ? พวกข้าก็ต่อสู้กับเหล่าขุนพลอมมนุษย์จนในที่สุดก็เริ่มเห็นผลว่าตนเองจะเป็นฝ่ายได้กำชัย แต่ทว่า..





พวกข้ากลับถูกอีกกองกำลังเข้าโจมตี





มันคือกองกำลังสีดำของอมมนุษย์ซึ่งมีดวงไฟสีฟ้าในนัยน์ตา บรรดาพลทหารและเหล่าขุนพลต่างมีไอควันสีฟ้าลอยออกจากปากไม่ต่างจากปีศาจร้าย พวกมันตรงเข้ามาประจัญบานกับพวกข้าอย่างไม่รีรอ ไม่ใช่แค่พวกข้าเท่านั้นที่ต้องต่อสู้กับศัตรูทั้งสองฝั่ง ฝ่ายขุนพลที่ใกล้สิ้นชื่อภายใต้เงื้อมมือพวกข้าเองก็ถูกเล่นงานจนสะบักสะบอมไม่ต่างกัน ข้าจึงพยายามหลอกล่อพวกมันให้กลายเป็นเป้าโจมตีของกองกำลังซึ่งโผล่มาเป็นมือที่สามนี้เพื่อจะได้หาโอกาสถอยทัพกลับไปตั้งหลักรอกำลังเสริม





     แต่ข้าก็พลาด..





กองกำลังที่มาใหม่ต่างมุ่งมั่นที่จะเข้าโจมตีพวกข้าให้ดับดิ้นไปพร้อมๆกับเหล่าขุนพลของศัตรูข้า การโจมตีของพวกมันเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งไร้รูปแบบของสำนึก ข้าขยับกายพยายามหลบหลีกอย่างยากลำบากเนื่องด้วยการต่อสู้ของผู้อื่นที่ยังคงพัวพันอยู่ไม่ห่าง ในขณะที่ข้ากำลังระดมความคิดเพื่อหาทางนำพาพวกพ้องให้รอดพ้นอยู่นั้น เสียงนึงก็ตะโกนขึ้นจนดังก้อง..





โฮริคาวะ!!



เปรี๊ยะ!!





โชคุไดคิริยกดาบขึ้นป้องกันให้โฮริคาวะที่พลาดท่าล้มลงจนไม่อาจหลบวิถีดาบได้ทัน แต่คมดาบของผู้เข้ามาปกป้องกลับแตกร้าวพร้อมๆกับที่คนถือดาบทรุดกายล้มลงอย่างหมดเรี้ยวแรงก่อนกระอักเลือดออกมากองใหญ่ โฮริคาวะขาดสติไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าตัวกระชับดาบสั้นในมือก่อนพุ่งร่างเข้าไปสังหารข้าศึกอย่างหมดสิ้นความเกรงกลัวว่าตนเองอาจดับสลายหากร่างจริงของตนรับการโจมตีไม่ไหว





ข้ากับมุสึโนะคามิจำเป็นต้องเสี่ยงฝ่าดงศัตรูเพื่อเข้าไปช่วยเหลือโฮริคาวะและโชคุไดคิริจากหายนะที่กำลังจ่อหน้ามาประชิด กว่ากำลังเสริมที่ขอไปจะมาถึงพวกข้าก็ยืนกันแทบไม่อยู่ เหล่าดาบใหญ่ซึ่งเป็นหนึ่งในทัพเสริมต่างช่วยสังหารศัตรูที่พวกข้าแน่ใจว่าไม่เคยพบเห็นหรือรู้จักมาก่อนจนไม่เหลือร่างใดยืนอยู่ ข้าส่งยิ้มให้พร้อมประโยคต้อนรับอย่างนึกมีอารมณ์ขัน





"ได้เวลาน้ำชาแล้วหรือ? ช้าจังเลยนะ.."





"ท่านนี่มัน.. มันใช่เวลาไหมเนี่ยท่านปู่!!"





"ไม่ใช่หรอกหรือ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า....ไม่สิ นี่ไม่ใช่เวลามาหัวเราะนี่นะ"





"ก็ไม่ใช่น่ะสิ! เฮอะ..มาเถอะท่านปู่ พวกข้าจะช่วยพยุงท่านขึ้นม้า"





"ชิบหายแล้ว..โชคุไดคิริ!!"








หลังจากนั้นข้าก็ถูกพาตัวกลับมาในสภาพเกือบหมดสติสินะ..




ไม่รู้ว่าดาบเล่มอื่นจะเป็นอย่างไรบ้างโดยเฉพาะโชคุไดคิริ ความเสียหายของเขาทำให้ข้าไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะได้กลับมาเป็นปกติหรือต้องดับสลายไป ในฐานะหัวหน้าหน่วยที่ต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์อันไม่คาดฝันนี้ข้าอยากไปดูด้วยตาตนเองให้รู้แจ้งว่าตกลงแล้วอาการของเขาเป็นเช่นไรกันแน่





ครืด..





"รู้สึกตัวแล้วจริงๆด้วย..อาการของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?"





ความรู้สึกอันแปลกประหลาดแผ่ซ่านอยู่ในอกด้วยไม่คิดว่าเสียงทุ่มต่ำที่ฟังจนคุ้นหูจะเอ่ยถามไถ่ด้วยความห่วงใยถึงเพียงนี้ ข้าหันกลับไปมองเจ้าของเสียงด้วยรอยยิ้มตามแบบฉบับ ก่อนจันทร์เสี้ยวจะสะท้อนภาพบางอย่างให้ข้าต้องตาค้าง!!





เกิดอะไรขึ้นกับซานิวะ!!













[ตอนพิเศษ] บันทึกของซานิวะ 1::








::บันทึกซานิวะ 1::

ศาสตราบางเล่มนั้นเลี้ยงดูยาก













ข้าคือซานิวะ..





บุคคลผู้มีพลังแฝงเร้นในการชำระล้างปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ข้าได้ทำหน้าที่อันทรงเกียรตินี้มาตั้งแต่เมื่ออายุได้16 ภารกิจของข้าคือการปกป้องประวัติศาสตร์ไม่ให้ผิดรูปแบบไปจากที่ควรจะเป็นด้วยการปลุกจิตวิญญาณเหล่าศาสตราขึ้นมาใช้ประหนึ่งเป็นแขนขาตนเอง ศาสตราของข้าทุกเล่มล้วนมาจากอดีตแต่ละยุคสมัย เรื่องราวในอดีตกาลเป็นส่วนเสริมสร้างความแตกต่างให้พวกเขามีบุคคลิกนิสัยในแบบของตนเอง





คะชู คิโยมิสึ คือศาสตราเล่มแรกที่ข้าพบและทำการปลุกชีพ อดีตของเขาทำให้ข้าสงสารนักจึงให้ความใส่ใจมากเป็นพิเศษ แม้จะมีศาสตราอื่นในอาณัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแต่ข้าก็ไม่เคยหลงลืมหรือละเลยศาสตราเล่มแรกซึ่งทุ่มเทแรงกายให้ข้าได้บรรลุเป้าหมายทุกอย่าง





นอกเหนือจากหน้าที่ปกป้องประวัติศาสตร์แล้วศาสตราของข้าคือสิ่งที่ข้าทุ่มเทใส่ใจ ข้าเอ็นดูพวกเขานัก เพราะหากไม่มีศาสตราเหล่านี้ชีวิตของข้าคงเต็มไปด้วยความเงียบเหงาแต่เมื่อได้มีพวกเขาเข้ามาเป็นส่วนนึงในชีวิตข้าก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างอีกต่อไป





เหล่ามีดสั้นมอบความสนุกสนานรื่นเริงให้ข้า ข้ามักรู้สึกว่าตนเองได้เป็นพี่ชายที่เด็กเหล่านั้นเคารพนับถือ แม้จะไม่เคยมีพี่น้องมาก่อนแต่ความรู้สึกปลื้มปิติเวลาที่เห็นพวกเขาตั้งใจทำอะไรเพื่อข้าก็คงจะไม่ต่างจากความรู้สึกของคนเป็นพี่ชายนัก เหล่าดาบทั้งหลายก็ทำให้ข้ารู้สึกว่าตนเองเป็นผู้นำที่ดีซึ่งพวกเขาสามารถฝากความหวังและพึ่งพาได้ แม้ในบ้างครั้งข้าจะรู้สึกว่าตนเองได้รับความเอื้อเอ็นดูแบบน้องชายที่พวกเขาต้องคอยดูแลก็ตาม แต่ข้าก็รู้สึกดีที่มันเป็นเช่นนั้น ศาสตราทุกเล่มดีกับข้ามากและดีมาตั้งแต่คราแรกที่พวกเขาลืมตาตื่น





ทว่ามีเพียงเล่มเดียวที่เป็นข้อยกเว้น..





'มิคาสึกิ มุเนะจิกะ'





ศาสตราเพียงเล่มเดียวที่ข้าไม่อาจทำความเข้าใจได้





........











ดาบเล่มนี้ไม่ชอบหน้าข้า..





นั่นคือสิ่งที่ข้ารู้จากการได้เห็นเศษเสี้ยวอารมณ์ในนัยน์ตารูปจันทร์เสี้ยว แม้เจ้าตัวจะคลี่รอยยิ้มเหมือนยินดีแต่ข้ารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการข้าเป็นนาย สิ่งที่สะท้อนในดวงตานั้นคือความเบื่อหน่ายที่เก็บงำไว้ภายใต้รอยยิ้มอ่อนโยน แต่ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องติดตามข้าไม่ว่ากรณีใดๆ ข้าค่อนข้างเห็นใจในความอึดอัดที่อีกฝ่ายเก็บกักไว้จึงไม่ได้ห้ามปรามอะไรกับการที่เขาประกาศว่าตนเป็นศาสตราระดับ'ผู้อาวุโส'ของเรือน





สำหรับข้าแล้ว มิคาสึกิมุเนะจิกะเป็นหนึ่งในห้ายอดศาสตราที่เอาใจใส่ได้ยากที่สุด เขาไม่ต้องการข้าเป็นนาย ไม่ต้องการสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ ไม่ได้ต้องการความเอ็นดูหรือการเห็นค่าความสำคัญอย่างที่ดาบเล่มอื่นปราถนา สิ่งที่เขาแสดงออกทางกริยาว่าต้องการคือความเรียบง่ายและเงียบสงบ อยู่กับห้วงความคิดของตนเองที่มักจะนำพาให้เจ้าตัวเหม่อมองไปในที่ซึ่งไกลแสนไกล..





ด้วยเหตุที่ไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร ข้าจึงไม่ได้เข้าไปกะเกณฑ์คาดหวังเรื่องใดจากอีกฝ่ายมากนัก ในเมื่อเขาไม่ต้องการความสนิทสนมจากข้าหรือศาสตราเล่มไหน ไม่ได้ปราถนาที่จะให้ผู้ใดข้องเกี่ยวโดยไม่จำเป็นข้าก็จะจัดการดูแลให้เป็นไปตามนั้น ข้าคิดว่าเรื่องที่ทำไปเป็นเรื่องสมควรเหมาะสมตามความต้องการที่มิคาสึกิอยากให้เป็น แต่มิคาด..





ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบขี้หน้าข้า





...มากกว่าเดิม?...









ราวสัปดาห์ก่อนมิคาสึกิเริ่มจ้องมองข้าด้วยสายตาที่ข้าอ่านไม่ออก อีกทั้งยังชอบเอ่ยปากชวนข้าร่วมสนทนากับเขาตามลำพัง บุรุษหนุ่มผู้มีใบหน้าโดดเด่นคมคายกำลังส่งยิ้มให้ข้าแต่ดวงตาอันงดงามประหนึ่งจันทร์เสี้ยวที่ลอยเด่นนั้นกลับแฝงเร้นด้วยบางสิ่งที่ข้าไม่อาจคาดเดา ทำเอาข้าอยากถอยห่างไปอย่างสุภาพให้เร็วที่สุดเสียทุกครั้งด้วยกังวลว่าจะสร้างความขุ่นใจให้อีกฝ่ายยิ่งกว่าเดิม ถึงเขาจะไม่ชอบหน้าข้าแต่ข้าก็ไม่อยากถูกศาสตราของตนเองเกลียดนะ..





ข้าเคยคิดว่าเขาไม่ชอบหน้าข้าด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง ข้าจึงพยายามไม่ไปยุ่งเกี่ยวหรือใกล้ชิดกับเขาถ้าไม่จำเป็น แต่ทว่าตอนอยู่รวมกันในบ่อน้ำร้อนเขากลับเป็นฝ่ายตรงเข้ามานั่งข้างกายข้าก่อน ข้างุนงงกับความใกล้ชิดที่ไม่คาดคิดแต่บางทีเขาคงไม่ได้ตั้งใจให้มีผู้อื่นอยู่ข้างๆ ข้าจึงขึ้นจากบ่อเพื่อถอดยูคาตะก่อนหยิบผ้ามาพันรอบเอวแบบคนอื่นๆแล้วมองหาที่นั่งใหม่





ทว่าพื้นที่ดังกล่าวกำลังมีดาบเล่มอื่นจับจองใช้สอยกันอย่างสุขสำราญ หากข้าเข้าไปขอนั่งแทรกกลางบางทีพวกเขาอาจเกิดความประหม่าเก้อเขิน ข้าจึงจำใจต้องกลับไปนั่งที่เดิม มิคาสึกิหันมายิ้มให้ตามมารยาทก่อนจะเบือนสายตากลับไปจ้องมองเหล่าพวกพ้องที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส ข้าจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตานั่งกวักน้ำมาลูบหน้าตนเองเงียบๆ รู้สึกลำบากใจจนแทบทนไม่ไหวกับบรรยากาศเช่นนี้





แต่แล้วไม่นานนักสวรรค์ก็เห็นใจด้วยการส่งจิโร่ทาจิซึ่งเอ่ยปากอาสาขัดหลังให้ ในใจข้าอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความซาบซึ้งตื้นตันใจ จิโร่ทาจิมาครั้งนี้เหมือนได้ช่วยข้าไว้จริงๆ ข้าจึงได้หลุดพ้นจากความลำบากใจที่ข้ามีต่อศาสตราข้างกายเสียที ข้าลุกขึ้นจากบ่อเดินตรงไปหาจิโร่ทาจิ รู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้องจากใครสักคนแต่ก็ข้าไม่ได้สนใจอะไรมาก ข้านั่งลงหันหลังให้ศาสตราผู้งดงามทว่าแข็งแกร่งเพื่อรับการปรนนิบัติ





ระหว่างการขัดหลังข้าก็ถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างเคลิบเคลิ้มด้วยความสบายก่อนจะลืมตาโพลงรีบหันมาจับมือจิโร่ทาจิที่กำลังเลื่อนมือมาแถวเส้นผมบริเวณท้ายทอยไว้ได้อย่างหวุดหวิด





"นายท่าน?..มีอะไรหรือขอรับ หรือท่านไม่สบาย?"





สีหน้าของจิโร่ทาจิดูฉงนสงสัยกับการยับยั้งอันไร้เหตุผล ข้าเกือบหลุดปากบอกความจริงไปแล้วว่าเขาจะแตะต้องส่วนไหนของข้าก็ได้ยกเว้นใบหน้ากับท้ายทอย!! ยังดีที่ข้าพอจะมีไหวพริบเหลืออยู่บ้างไม่ได้ทำหล่นกระเด็นหายไปกับความตกใจเสียหมด สมองข้ารีบระดมความคิดภายในไม่กี่วินาทีก่อนจะยิ้มบางๆพลางเอ่ยปากตอบด้วยน้ำเสียงไร้ความกังวลแม้ว่าแท้จริงแล้วใจข้ายังคงกองแทบเท้าด้วยความตื่นตกใจ





"ข้าเริ่มหนาวแล้วละ ไปแช่น้ำกันอีกดีไหม?" จิโร่ทาจิพยักหน้าด้วยรอยยิ้มยินดี หมดความข้องใจสงสัย ข้าแอบถอนหายใจขณะเดินตามหลังไปนั่งกับเขา เกือบไปแล้ว.. แม้การแช่น้ำร้อนจะเป็นผลดีกับข้าในเวลานี้แต่ก็ยังประมาทไม่ได้เลยจริงๆ ใครจะคิดกันละว่าพวกศาสตราจะยังไม่ได้ใช้โรงอาบน้ำ ถ้าข้ารู้อยู่ก่อนข้าคงไม่มาแช่น้ำในเวลานี้หรอก..



................................................




...........................




............




....




..




"มาแล้วหรือ?.. เอานี่! ดาบของเจ้า" ข้าเลิกคิ้วแปลกใจกับศาสตราในมือที่นายช่างโยนให้ ลวดลายบนดาบเป็นแบบที่ข้าไม่เคยเห็น แถมยังเป็นดาบยาวไม่ใช่มีดสั้นหรือดาบสั้นที่นายช่างคลั่งไคล้ถึงขนาดยัดเยียดมาให้ข้าเสียมากมายจนเรือนข้าแทบจม..





"ข้าประหลาดใจนักที่ท่านจะทำในสิ่งที่คนมีอารยธรรมยกย่องสรรเสริญกันเสียที.." นี่ข้ากำลังฝันไปใช่หรือไม่? นายช่างจะกลับตัวกลับใจแล้วจริงๆหรือ? เรื่องนี้มันช่าง..






มันช่างเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกสะพรึงขวัญเป็นยิ่งนัก!!!






ปรากฏการณ์นี้สมควรได้รับการจารรึกให้เป็นประวัติศาสตร์อันใหญ่หลวง! และต้องเล่าขานให้รับรู้กันสืบไปจนชั่วลูกชั่วหลานโดยด่วนเป็นอย่างยิ่ง!! หรือนี่จะเป็นลางบอกเหตุของประวัติศาสตร์ที่กำลังจะแปรเปลี่ยนไปอย่างกลับหัวกลับหาง? ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ปล่อยให้มันกลับหัวกลับหางอยู่ผิดที่ผิดทางต่อไปเถอะข้ายอมละเลยหน้าที่สักครั้ง..





"ตกลงไม่เอาใช่ไหมข้าจะได้ริบคืน เหล็กกำลังขาดอยู่พอดี.."





"งั้นหรือ..แต่ข้ากำลังต้องการดาบยาวอยู่พอดี ต้องขอบคุณหยาดเหงื่อแรงกายของท่าน.." และทรัพยากรจำนวนมหาศาลเกินจะนับของข้าที่ถูกท่านขูดรีดไปจนหมดโกดังครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อกลายสภาพเป็น..





..ดาบสั้นสองเล่ม..







แค่คิดน้ำตาก็พาลจะไหล ยิ่งนึกภาพก็ยิ่งปวดใจเกินจะกล่าว..





ข้าคับแค้นใจนายช่างผู้นี้นักแต่อย่างไรเสียข้าก็จำเป็นต้องมีเขาในการสร้างดาบที่มีจิตวิญญาณ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่สามารถใช้พลังสร้างกายเนื้อให้ศาสตราทำงานได้ ตั้งแต่เริ่มรับหน้าที่เป็นซานิวะข้าก็ต้องรับมือกับศึกใหญ่ครั้งแรกด้วยการต่อรองจำนวนทรัพยากรกับนายช่างอย่างดุเดือดหน้าดำหน้าแดง จนสองปีที่ผ่านมา นอกจากการจัดทัพรับมือศัตรูกับดูแลเหล่าศาสตรา ข้าก็ได้ฝึกวิชาความอดทนอดกลั้นจากการกระทำอันน่าสาปส่งของนายช่างผู้นี้นี่แหละ แต่ข้าก็ไม่คิดจะซาบซึ้งในบุญคุณหรอกนะ แค่ระงับความโมโหไม่ให้เอ่ยปากสาปแช่งเขาได้ก็ถือว่าข้าได้ตอบแทนน้ำใจไม่มีอันใดติดค้างกันแล้ว





ข้าเดินกลับมายังเรือนพักของเหล่าศาสตราก่อนสั่งให้หนึ่งในนั้นจัดห้องพักว่างๆให้ข้าห้องนึง ใช้เวลาไม่นานนักข้าก็เดินเข้าไปในห้องพร้อมกับดาบใหม่ในมือ ปิดประตูบานเลื่อนก่อนจะนั่งคุกเข่า มือทั้งสองประคองศาสตราเล่มใหม่วางไว้เบื้องหน้าก่อนจะวางมือทาบทับแล้วหลับตาลง ดำดิ่งเข้าสู่ห้วงภวังค์เพื่อทำการค้นหาจิตวิญญาณที่หลับใหลของศาสตราเล่มนี้





เจอแล้ว..



        หืม? ไอสัมผัสของจิตวิญญาณนี่มัน..





"อ่า..เป็นผู้ที่ชื่นชอบการแบ่งปันเสมอเลยนะ..ท่านอินาริ.." ข้าอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับตนเองด้วยน้ำเสียงเจือรอยขัน นาคิกิสึเนะก็เล่มนึงแล้วที่มีไอสัมผัสเช่นนี้หากแต่เจือจางกว่า เทพเจ้าแห่งความอุดมเช่นท่านจะขยันเที่ยวแบ่งเสี้ยวพลังเกินไปหรือไม่นะท่านอินาริเมียวจิน..





ข้านึกในใจก่อนใช้พลังชักนำจิตวิญญาณที่ได้สัมผัสออกมาด้านนอกได้สำเร็จ ดวงแสงทรงกลมขนาดเท่าหนึ่งกำมือกำลังล่องลอยเปล่งแสงสีขาวนวลตาประหนึ่งดวงแก้วอันงามวิจิต ข้าคลี่รอยยิ้มบางก่อนจะใช้มือโอบประคองให้เข้ามาหาตัว สองแขนของข้าโค้งเข้าหาทำท่าคล้ายการโอบกอดก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ปลดปล่อยพลังที่เหล่าซานิวะทั้งหลายพึงมีออกมาอย่างเต็มที่เพื่อสร้างกายเนื้อใหม่ให้จิตวิญญาณเบื้องหน้า





....





น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาอย่างเป็นปริศนายิ่งทำให้ข้ายิ้มกว้าง เมื่อลืมตาขึ้นข้าก็เห็นจิตวิญญาณซึ่งมีร่างเป็นบุรุษหนุ่มรูปร่างแข็งแกร่งสมชายชาตรีนอนซบอยู่ในอ้อมแขน ศาสตราเล่มนี้มีเรือนผมสีขาวเหมือนข้าแต่ฟูฟ่องหนานุ่มกว่าราวขนจิ้งจอก อ่า..เจ้าตัวมีเขี้ยวที่ยาวกว่าคนปกติแบบจิ้งจอกด้วย สมกับที่มีเชื้อสายของเทพอินาริจริงๆ





"อืม.. นี่ข้า.."





ดวงตาคมกริบค่อยๆปรือขึ้นมาอย่างงุนงงก่อนจะจับจ้องอยู่ที่ข้าราวกับกำลังพิจารนา ศาสตราตรงหน้าทำจมูกฟุดฟิดคล้ายสุนัขกำลังดมกลิ่น อืม.. หวังว่าเจ้าตัวจะไม่ร้องโวยวายเพราะมีเจ้านายเช่นข้านะ เขาว่ากันว่าจิ้งจอกนั้นสัญชาตญาณดีแถมรับรู้แยกแยะกลิ่นได้ดีมาก แต่เหนือจิ้งจอกก็ยังมีเทพจิ้งจอก.. ข้าก็ได้แต่หวังว่าศาสตราเชื้อสายเทพจิ้งจอกตรงหน้านี้จะมีใจเป็นกลางแบบนาคิกิสึเนะที่ทำตัวผ่อนคลายไร้ความหวาดระแวง





"อรุณสวัสดิ์.." ข้าตัดสินใจเปิดฉากสนทนาก่อน ยังดีกว่าปล่อยให้อีกฝ่ายซึ่งตอนนี้กำลังยื่นหน้ามาใกล้จนแทบจะซุกเข้าไปในอกเสื้อข้าได้สำรวจอะไรต่อมิอะไรของข้าต่อ.. ศาสตราตรงหน้าเหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองควรทำสิ่งใดจึงค่อยๆลุกออกจากอ้อมแขนข้าแล้วนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าแทนที่ดาบซึ่งเป็นร่างจริงของเขา





"ข้าโคกิทสึเนะมารุ หนึ่งในดาบชั้นเลิศของมุเนะจิกะซันโจที่สร้างขึ้นตามพระบัญชาของจักรพรรอิจิโจ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะขอรับนายท่าน"





"ทางข้าเองก็เช่นกัน จากนี้ไปต้องขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะโคกิทสึเนะ.." ข้ายิ้มด้วยความพอใจก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดีชื่นมื่น หลังการแนะนำตัวและอธิบายสถานการณ์ให้อีกฝ่ายเข้าใจคร่าวๆแล้วข้าก็ขอตัวกลับเรือนพักโดยยกห้องที่เพิ่งเดินจากมาให้โคกิทสึเนะได้อาศัย





จากประวัติคร่าวๆที่ได้ฟังตอนโคกิทสึเนะแนะนำตัวทำให้ข้ารู้ว่าเจ้าตัวถือกำเนิดขึ้นจากช่างตีดาบคนเดียวกับมิคาสึกิ หากมีโคกิทสึเนะมาอยู่ด้วยเช่นนี้มิคาสึกิคงจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างกระมัง..





แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดมิคาสึกิจึงไม่ชอบหน้าข้าตั้งแต่แรกเห็น




.......
















วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

::ห้วงคิดที่ 6::









::บทที่ 6::

ไม่ว่าจะรู้หรือไม่แต่'เด็ก'เป็นความหวังของ'ผู้ใหญ่'เสมอ










ข้าไม่มีโอกาสได้สนทนากับซานิวะอีกเลย...



นับจากเรื่องวันนั้นไม่ว่าจะเป็นเวลาใดคนผู้นั้นเป็นต้องมีดาบอื่นติดตามอยู่ข้างกายอย่างน้อยหนึ่งเล่มเสมอ ข้าพยายามคิดในแง่ดีว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นไม่ได้มีสาเหตุอันใดมาจากการกระทำของข้าแต่ก็ไร้ผล ข้าขุ่นเคืองนักเมื่อการกระทำนั้นเหมือนจะเป็นการตอกย้ำว่าเขาไม่สามารถวางใจที่จะอยู่กับข้าตามลำพังได้ หากถูกต่อว่าด่าทอข้ายังจะรู้สึกดีเสียกว่าการหลบเลี่ยงราวเห็นเป็นปีศาจร้ายเช่นนี้





"ท่านดูอารมณ์ไม่ดีนะ ท่านมิคาสึกิ" โชคุไดคิริเอ่ยปากขึ้นในระหว่างออกลาดตะเวนประจำวัน สีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉยทำให้ข้าไม่อาจคาดเดาว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่





"ข้าดูออกง่ายเช่นนั้นเชียวหรือ? อากาศวันนี้ร้อนจนข้าอยากกลับไปอาบน้ำที่เรือนเร็วๆเชียวละ แต่ก็ต้องทำงานก่อนนี่นะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า" ข้าหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะปัดเรื่องขุ่นใจในหัวทิ้งไว้ข้างทาง





"ถ้าเช่นนั้นก็รีบเร่งม้าเถอะ หิวจะแย่อยู่แล้ว" มุสึโนะคามิโอดครวญด้วยความหิวโหยพร้อมเสียงร้องในท้องที่ดังออกมาเป็นพยานยืนยัน





เนื่องจากวันนี้เป็นการลาดตะเวนในอาณาเขตที่ค่อนข้างกว้างจึงยังไม่มีดาบเล่มไหนได้ทานอาหารเต็มอิ่มนอกจากมื้อเช้าก่อนปฏิบัติหน้าที่ สมาชิกเล่มอื่นต่างพยักหน้าเห็นด้วยเพราะแม้จะได้พักใต้ร่มไม้เพื่อหาอะไรใส่ท้องประทังความหิวบ้างเป็นระยะ แต่อากาศที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้ก็ทำให้เหนื่อยล้าได้ง่าย ในฐานะนายกองข้าก็ไม่คิดจะนิ่งดูดายให้ผู้ติดตามต้องตรากตรำกันถึงเพียงนั้น จึงชักบังเหียนเอ่ยชักชวนให้ไปต่อจะได้กลับเรือนกันโดยเร็ว



...........



....



..






"เสร็จสักที ถ้านานกว่านี้ข้าคงจะละลายหายไปกับท้องทุ่งนั่นแล้ว"





"ฮ่าฮ่าฮ่า ขนาดนั้นเลยหรอมุสึโนะคามิ แต่มันก็ร้อนจริงๆนั่นละนะ"





ข้าเอ่ยพลางเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาตามหน้าผาก ที่ราบแถวนี้อยู่ห่างจากฐานบัญชาการด้วยภูเขาลูกใหญ่จึงยากที่กระแสลมอันชุ่มชื่นจะพัดเข้าถึง ยังดีที่มีป่าไม้ค่อยให้ร่มเงามากมายตามริมทาง สมาชิกหน่วยลาดตะเวนต่างใช้เวลาพักเหนื่อยข้างชายป่าอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะพากันขึ้นม้าเมื่อข้าเห็นว่าทุกคนพร้อมที่จะเดินทางกลับ แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยปากออกเดินทาง บางสิ่งที่คล้ายเคยได้ยินเมื่อนานมาก็ดังขึ้น...





..ตึ่ง..ตึ่ง..ตึ่ง..





          เสียงนี้มัน..




สัญญาณรบ!!





ดวงตาจันทร์เสี้ยวเบิกกว้างเมื่อนึกออก สมาชิกหน่วยลาดตะเวนทั้งหมดต่างก็รับรู้อยู่แก่ใจเมื่อดาบทุกเล่มต่างจับร่างจริงของตนไว้ให้มั่น ทหารเสกทุกนายต่างจัดรูปแบบทัพอย่างรู้หน้าที่ทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยปากสั่ง บรรยากาศเข้ารู้สภาวะตึงเครียดเมื่อพวกข้าไม่รู้ว่าศัตรูมีจำนวนเท่าไรและมาจากทิศทางใด ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนข้าไม่มีเวลาแม้แต่จะส่งหน่วยสอดแนมไปหาตำแหน่งทัพเมื่อเสียงกลองศึกที่ลั่นดังนั้นดังก้องไปทั่วไหล่เขาและพื้นราบ ถ้าข้าศึกอยู่บนเขาพวกข้าก็ตกที่นั่งลำบาก





"ถอยก่อน! ออกไปให้พ้นชายป่า!" ข้าสั่งการด้วยเกรงว่าศัตรูจะใช้พลธนู ตำแหน่งของพวกข้าตอนนี้กำลังเสียเปรียบอย่างที่สุด หากเป็นในพื้นที่ระดับเดียวกันพวกข้ายังพอจะหาวิธีรับมือได้บ้าง แต่เหมือนเทพเจ้าจะไม่เข้าข้างเมื่อสิ่งที่ข้าหวั่นเกรงนั้นได้เริ่มต้นขึ้น..





ฉึก!! ฉึก!! ฉึก!!





"พลโล่ออกมาด้านหน้า พวกเราถอย!!"





ทุกคนทำตามคำสั่งข้าอย่างรู้หน้าที่ตนเอง ทหารส่วนนึงช่วยกันยกโล่ขึ้นป้องกันเกาทัณฑ์ให้พวกข้าได้ถอยทัพอย่างปลอดภัย ข้าสั่งให้พวกเขาถอยหลังตามมาไม่ห่าง ข้าไม่ต้องการทอดทิ้งใครไว้เบื้องหลังเพื่อเอาตัวรอดแม้ว่าพวกเขาจะเป็นทหารที่เกิดจากการอัญเชิญของซานิวะก็ตาม พวกข้าควบม้าถอยห่างออกมาเพื่อที่จะไปให้ถึงทุ่งโล่งกว้าง อย่างน้อยก็จะได้เห็นจำนวนข้าศึกกันอย่างชัดๆ ตราบใดที่ลูกแก้วทหารทองของพวกข้ายังไม่แตกทหารทั้งหมดก็จะเป็นกำลังช่วยเหลือพวกข้าเสมอ แต่ข้าไม่รู้เลย





ว่ามันคือจุดเริ่มต้นของหายนะ..






ตู๊ม!! / เพล้ง!!





ก้อนหินขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาด้วยกำลังแรงกระแทกพลโล่ของพวกข้าจนทุกนายดับดิ้น ลูกแก้วสีทองของข้ากับโชคุไดคิริต่างแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่มีเวลาให้ใครจมอยู่กับความตกตะลีง พลทหารของฝ่ายตรงข้ามต่างพุ่งตรงเข้ามาใกล้พวกข้าจากไหล่เขาหลังหมดระยะที่เครื่องยิงหินกับธนูจะยิงไปถึง ฝ่ายพวกข้าก็ไม่น้อยหน้า เมื่อเห็นบริวารของข้าศึกวิ่งเข้ามาเหล่าทหารทุกนายก็วิ่งออกมาเผชิญหน้าตรงเข้าโรมรันศัตรูอย่างกล้าหาญ จิตวิญญาณดาบทุกเล่มในหน่วยต่างช่วยกันสังหารศัตรูได้อย่างไม่ยากเย็นแต่จำนวนสัดส่วนของพลทหารทำให้ข้าไม่อาจวางใจ





"โกโคไท กลับฐานไปขอกำลังเสริม" ยังไม่ทันที่ข้าจะเอ่ยปากโชคุไดคิริซึ่งเป็นรองหัวหน้าหน่วยก็สั่งการให้จิตวิญญาณมีดสั้นเพียงเล่มเดียวในกลุ่มรีบกลับไปขอกำลังเสริม





"ตะ แต่ว่า.." เด็กชายมีสีหน้าลังเลเมื่อได้รับคำสั่ง





"รีบไปเดี๋ยวนี้ก่อนที่พวกเราจะดับสลายกันหมด อย่างน้อยก็ต้องมีใครรอดกลับไปสักคนเพื่อแจ้งข่าวการศึก จงรีบไปเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า! เฮชิคิริจะไปกับเจ้าด้วย"





"วางใจได้เลย.." เฮชิคิริให้คำมั่น โกโคไททำหน้าตื่นตระหนกจนข้านึกสงสาร เจ้าตัวคงกลัวจนลนลานทำอะไรไม่ถูกเสียแล้ว





วันนี้เดิมทีพวกข้าตั้งใจแค่จะมาออกตรวจพื้นที่จึงไม่มีดาบใหญ่อยู่ในหน่วยสักเล่ม อย่างมากก็มีแค่ดาบยาวซึ่งก็คือข้ากับโชคุไดคิริ ที่เหลือก็เป็นดาบมาตฐาน มุสึโนะคามิ เฮชิคิริ ดาบสั้นมีเพียงโฮริคาวะ โกโคไทเป็นมีดสั้นเพียงเล่มเดียวที่ได้ร่วมหน่วยตามคำสั่งของซานิวะที่อยากให้เจ้าตัวออกมาเปิดหูเปิดตาบ้างเท่านั้น การตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเนื่องจากไม่พร้อมรบอย่างไม่คาดคิดเช่นนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก





โดยปกติหากมีข้าศึกอยู่แถวนี้พวกข้าย่อมต้องได้ทราบข่าวคราวมาบ้างไม่มากก็น้อยก่อนจัดทัพเตรียมรบ แต่นี่กลับไม่มีข่าวคราวความเสียหายอันใดจากพวกชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนี้เลยสักอย่าง หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายหลบซ่อนตัวได้ดีมากก็ต้องเป็นเพราะสายข่าวของพวกข้าถูกปิดหูปิดตาไว้จนไม่รู้ความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ





"ขะ..ข้าไปคนเดียวได้นะ! ข้าเป็นแค่มีดสั้นไม่มีใครสนใจข้าหรอกครับ!"





ประโยคที่ตอบรัวเร็วด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนั้นพวกดาบอื่นต่างได้ยินชัด แต่ก็ไม่มีใครสละเวลามานั่งนึกเห็นใจเนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงวิกฤต ข้าได้แต่ทอดถอนใจกับความอ่อนเดียงสาของเด็กน้อยที่พยายามจะแสดงความกล้าหาญโดยไม่รู้ว่าผู้อื่นปราถนาดีเพียงใด





เด็กโง่.. ก็เพราะเป็นมีดสั้นน่ะสิถึงได้ห่วงเจ้านัก โชคุไดคิริต้องการให้เฮชิคิริคอยถ่วงเวลาหากมีการโจมตีอันไม่คาดคิดเกิดขึ้นระหว่างทางต่างหากเล่า แม้เจ้าจะเป็นเพียงมีดสั้นที่ใช้เข้าประจัญบานกับผู้ใดไม่ได้ แต่หากเจ้ารอดกลับไปได้อย่างน้อยดาบเล่มอื่นๆที่มีประสิทธิภาพกว่าจะได้เตรียมตัวรับมือทัน เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้มีดสั้นผู้เปราะบางอย่างเจ้าน่ะ





..เป็นทางรอดและชัยชนะเดียวของพวกข้า..








"ห้ามดื้อแล้วทำตามที่ข้าสั่ง! นี่ไม่ใช่ที่เรือนถึงจะมีคนมาคอยตามใจเจ้า ไปได้แล้ว ไป!!" โกโคไทถูกเฮชิคิริรั้งตัวไปด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ ริมฝีปากเม้มแน่นราวกับพยายามจะบังคับตนเองไม่ให้ร้องไห้ ทั้งคู่แยกจากพวกข้าไปอีกทางพร้อมพลธนูบางส่วน





"ทำตัวโหดร้ายจังนะ เดี๋ยวก็โดนเกลียดหรอก" ข้าเอ่ยหยอกพร้อมกับฟันร่างข้าศึกจนแขนขาดสะบัดเลือดข้นๆสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นหญ้า โชคุไดคิริยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนตวัดดาบบั่นคอศัตรูด้วยสีหน้าเรียบเฉย





"ให้ข้าโดนเกลียดยังดีกว่าให้พวกเราดับดิ้นกันหมด"





"ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นสินะ ข้าก็ยังไม่อยากดับสลายในตอนนี้หรอก.."





เพราะยังมีเรื่องที่ต้องรอสะสางกับคนผู้นั้น..





ใบหน้าและเรือนผมสีสวยผุดขึ้นมาในห้วงคิดก่อนที่ข้าจะรีบสลัดมันทิ้งไปชั่วคราว นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องอื่น ตอนนี้แม้พวกข้าจะยังไม่มีใครเพลี่ยงพล่ำแต่ทหารของพวกข้าก็เริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆตามสภาพของลูกแก้วที่เริ่มมีรอยร้าว





"ชักร้อนแล้วสิ เอาจริงเลยดีไหม.." ข้าเอ่ยเบาๆกับตนเอง





"ถ้าทำให้พลิกสถานการณ์ได้ก็ตกลงครับ ท่านมิคาสึกิ" โฮริคาวะซึ่งอยู่ด้านซ้ายขยับกายฟันศัตรูวิ่งเข้ามายืนเคียงข้างข้า





"ปู่อะรีบเลย เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะลำบากพวกข้าทีหลัง" มุสึโนะคามิเอ่ยติดตลกทำให้ข้านึกขันแต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร ฝ่ายโชคุไดคิริเองก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับข้าที่จะเร่งปิดฉากการรบนี้เสียที





สถานการณ์นี้ยิ่งยืดเยื้อยิ่งเสียเปรียบ ทหารของศัตรูพวกนี้จะว่าเป็นคนก็ไม่เชิงนักเพราะถูกความปราถนาอันชั่วร้ายสิงสู่จนเกิดไอดำเข้มข้นแผ่อยู่รอบกาย ซ้ำดวงตายังเป็นสีแดงก่ำเลือดดังนั้นพวกมันจึงไม่รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อย เหล่าขุนพลของฝ่ายตรงข้ามต่างก้าวออกมาด้านหน้าทันทีเหมือนรับรู้ว่านี้คือการต่อสู้ครั้งสำคัญ ในขณะที่เหล่าทหารทั้งสองฝ่ายต่างยังคงต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด





"สัดส่วนคู่ต่อสู้ดูไม่ค่อยเสมอภาคเลยนะ ฮะฮะฮะ"





"มันใช่เวลามาหัวเราะมั้ยเนี่ย.."





ข้าหัวเราะเมื่อเห็นขุนพลอมมนุษย์หกตนก้าวออกมาประจัญหน้าผิดกับฝั่งข้าที่มีจิตวิญญาณดาบเพียงสี่เล่ม มุสึโนะคามิส่ายหัวเอือมระอากับความเรื่อยเฉี่อยของข้าในขณะที่โฮริคาวะได้แต่ยิ้มจืดเจือน  แต่ใครจะสนกันละในเมื่อศึกตรงหน้านี้สำคัญกว่า..





หน้าที่ในฐานะจิตวิญญาณดาบอันเปี่ยมไปด้วยพลังบริสุทธิ์ คือการทำลายสิ่งที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ หากฝ่ายตรงข้ามกระทำการสำเร็จ ประวัติศาสตร์ที่ข้าเคยรับรู้หรือเคยเป็นส่วนหนึ่งของมันก็จะกลายเป็นเพียงฝุ่นควัน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นบางทีในสมัยของข้าอาจจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นไม่มีช่างตีดาบที่ชื่อ มุเนะจิกะ ซันโจ หากไม่มีซันโจก็จะไม่มีข้ากับสหายเล่มอื่นๆถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก ดังนั้น..





ฟู่ว์..





"เอาละนะ.."







มาเริ่มกันเลย!!



















::ห้วงคิดที่ 5::











::บทที่ 5::

ในบางครั้งผู้ชราก็อยากสนุกอย่างเด็กๆ











สิ่งที่โคกิทสึเนะเอ่ยในวันนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ทำให้จันทร์เสี้ยวของข้าไม่อาจเหลือบมองคนผู้นั้นด้วยสายตาเช่นเดิมได้อีก แต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะมีญาณวิเศษรับรู้ว่าข้ากำลังคิดเช่นไรเจ้าตัวจึงหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ข้ายิ่งกว่าเดิมจนถึงขนาดไม่คิดแม้แต่จะหันมาสบตา จริงๆข้าควรจะอารมณ์เสียกับมารยาทที่หมางเมินหยาบคายเช่นนี้แต่ก็เปล่า เนื่องจากข้าเริ่มสังเกตเห็นสิ่งนึงที่เปลี่ยนไปบนใบหน้าเยาว์วัยที่ไม่แบ่งแยก..





"โอ้..ข้าเป็นนายกองงั้นหรือ? เข้าใจแล้ว"





ข้ายิ้มอย่างไร้ความกังวลกับกำหนดการของวันพรุ่งนี้ที่ต้องเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตะเวน ก็ใช่ว่าข้าไม่เคยทำเสียเมื่อไร หลายวันมานี้มีภารกิจให้ข้าทำมากมายหลากหลายซะจนคิดถึงการดื่มชาบ่อยครั้ง แต่ภารกิจที่ได้ทำแต่ละอย่างมันก็สนุกจริงๆ ดีกว่าเมื่อก่อนที่ข้าได้ทำแค่ติดตามผู้เป็นนายออกไปยังที่ต่างๆแต่ไม่เคยได้ประมือกับผู้ใด เด็กหนุ่มพยักหน้าให้ด้วยสายตาที่ทอดมองต่ำ พื้นทางเดินนี้น่ามองกว่าจันทร์เสี้ยวเช่นข้าอีกงั้นหรือ?



ดีละ..





"ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้ก็รบกวนด้วย.."





"อะ..รอเดี๋ยวนายท่าน"





"มีอะไ-- !!!!!"





ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังหันกลับมาด้วยสีหน้าฉงนสงสัยข้าก็ก้าวเท้าเข้าไปประชิดอย่างรวดเร็ว ยื่นมือวางบนเรือนผมสีสว่างแล้วสางเข้าไปในเส้นผม ดวงตาสีฟ้าครามด้านซ้ายของคนตรงหน้าเบิกค้างด้วยมิคาดว่าข้าจะทำเช่นนี้





"ซากุระติดผมแหน่ะ แต่มองแล้วก็เหมือนเป็นภูติซากุระเลยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า" ข้าดึงเอากลีบซากุระออกมาจากเรือนผมยกขึ้นมาให้ดูพร้อมยิ้มหยอกล้อ ซานิวะเหมือนเพิ่งรวบรวมสติได้เขาพยักหน้าเอ่ยขอบคุณข้าก่อนเบี่ยงตัวเพื่อตีจาก แต่มีหรือที่ข้าจะยอมให้อีกฝ่ายได้สมใจ





"ยังมีอีกเยอะบนผมท่านนะ ฮะฮะฮะ ข้าช่วยดีกว่านะ" สีหน้ายุ่งยากใจของคนผู้นั้นยามใช้มือสางผมหาทำให้ข้าอาสาช่วยเหลือด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ ข้าคงไม่ต้องบอกใช่หรือไม่ว่ากลีบซากุระเหล่านั้นมาจากไหนมากมาย?





หืม.. ต้องบอกด้วยหรือ?





ตกลงๆ ข้าบอกก็ได้ เป็นข้าเองที่ลอบโปรยใส่ศีรษะของซานิวะตอนช่วยเอากลีบแรกที่อยู่ในมือข้ามาตั้งแต่แรกออกนั้นแหละ ฮ่าฮ่าฮ่า แต่ข้าก็กำลังให้ความช่วยเหลือเป็นการไถ่โทษอยู่นี่นา..





"ไม่ต้องหรอก ข้าทำได้"





แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ต้องการความปราถนาดีนี้เมื่อซานิวะลดมือลง รีบส่ายหน้าปฏิเสธก่อนก้าวเท้าถอยเพื่อสร้างระยะห่าง ท่าทางเช่นนั้นกลับปลุกเร้าให้ข้ารู้สึกอยากกลั้นแกล้งขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เด็กน้อยผู้นี้เหตุใดจึงขยันสร้างความรู้สึกอันแปลกประหลาดหลากหลายมาให้ข้าต้องนึกฉงนตนเองเช่นนี้บ่อยครั้งกันนะ?





เคยมีคนผู้นึงกล่าวกับเจ้านายคนก่อนๆของข้าว่า ผู้เฒ่าวัยชรามักมีความเป็นเด็กแอบซ่อนอยู่มากกว่าทุกช่วงวัยอื่นที่พ้นผ่านความอ่อนเดียงสา บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับดาบอายุหลายร้อยปีเช่นข้าก็เป็นได้ แต่ใครจะสนกันละ? ในเมื่อตอนนี้ข้ากำลังปราถนาที่จะยลโฉมสีหน้าอื่นนอกจากความสุขุมเยือกเย็นเป็นผู้ใหญ่เกินวัยที่อีกฝ่ายมักแสดงออก หากคนผู้นี้โกรธจะมีสีหน้าเช่นไรกันนะ?





"แล้วท่านมองเห็นหรือว่าอยู่ที่ใดบ้าง"





ข้ายิ้มกว้างพลางขยับเท้าเข้าใกล้ ยามนี้ซานิวะดูจะรักษาความสุขุมไว้ไม่อยู่เสียแล้ว สีหน้าที่เหมือนกับอยากจะกระโจนหนีห่างใจจะขาดทำให้ข้าทั้งฉุนทั้งขัน รู้สึกอยากหัวเราะแต่ก็ยังมีความขัดเคืองใจ อยากหนีนักใช่หรือไม่..




งั้นข้าจะพาตัวเองมาเข้าใกล้จนเจ้าหมดหนทางหนี!!







"ดะ..เดี๋ยวก่อน ข้าบอกว่าไม่ต-- นี่ท่าน!!"





ข้าจับแขนอีกฝ่ายกระชากดึงเข้าหาตัวจนร่างนั้นชิดกับแผ่นอกก่อนใช้วงแขนปิดกั้นทางหนีของอีกฝ่ายไว้ ซานิวะที่พยายามขัดขืนมีสีหน้าลนลานแต่ข้าก็ไม่ใส่ใจอาการต่อต้านนัก ปลายนิ้วของข้าแทรกเข้าไปในเรือนผมที่นุ่มลื่นราวเส้นไหมอย่างไม่ฟังเสียงห้ามปราม ค่อยๆไล่สางปัดเอากลีบซากุระที่ติดอยู่ออกไป การกระทำที่นุ่มนวลของข้าทำให้คนในอ้อมแขนลดการต่อต้านลงแต่ก็ไม่ทั้งหมด ดวงตาสีครามที่เหลือบมองข้ายังคงเต็มไปด้วยความระแวดระวังเหมือนสัตว์ป่าตัวเล็กที่กำลังหวาดระแวง ข้านึกขันในใจก่อนตัดสินใจเล่นสนุกด้วยการใช้ปลายนิ้วลูบใบหน้าบริเวณขมับขวาไล่ลงมาถึงผิวแก้ม..





ฟึบ!!





"คิดว่าท่านคงหยิบมันออกหมดแล้ว ขอตัวก่อน!!"





"เดี๋ยว.."





แต่คราวนี้คำพูดของข้าไม่อาจรั้งกายซานิวะไว้ได้อีก คนผู้นั้นยกมือปิดดวงตาขวาใต้เรือนผมด้วยสีหน้าหวาดหวั่นเกือบๆจะกลายเป็นความหวาดกลัว เขาหมุนกายวิ่งจากไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางจันทร์เสี้ยวที่ได้แต่นิ่งงัน ก่อนก้มหน้ามองมือข้างนั้นด้วยความรู้สึกผิด ข้าคาดหวังว่าจะได้เห็นสีหน้ายามโกรธเคืองของเขาแต่ไม่คาดว่าจะได้เห็นสีหน้าที่ตรงกันข้ามเช่นนั้น มันทำให้ข้านึกต่อว่าตนเองด้วยความรู้สึกผิดลึกๆ แต่นอกเหนือจากเรื่องนั้นก็มีสิ่งนึงที่ข้าครุ่นคิดด้วยความสับสน





สัมผัสที่ได้รับเมื่อครู่นี้มัน..













วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

::ห้วงคิดที่ 4::












::บทที่ 4::

คนเป็นเจ้านายมักมีความลับ










ซานิวะเป็นคนประหลาดที่ชอบทำตัวมีความลับ..





ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ข้าที่คิดเช่นนั้นแต่ดาบเล่มอื่นก็รู้สึกถึงเรื่องนี้ได้เช่นกัน มีครั้งนึงที่เวรทำครัวเกียจคร้านแม้แต่การจะหยิบมีดเล่มใหม่จึงใช้มีดหั่นผักสับเนื้อก่อนเอาไปหั่นผักที่จะใช้ในสำรับอาหารของซานิวะ ผลที่ออกมาคือซานิวะทานไปได้แค่คำเดียวก่อนจะมีสีหน้าพะอึดพะอมซีดเผือด หันมาถามด้วยอาการร้อนรนว่าก่อนหน้านี้มีใครเอาเนื้อสัตว์มาปนหรือไม่ เมื่อได้คำตอบเจ้าตัวก็รีบวิ่งไปล้วงคอพยายามให้ตัวเองอาเจียนออกมาอย่างไม่ฟังเสียงใครห้ามปราม ทำเอาคนทั้งเรือนวุ่นวายกันไปหมด





เรื่องที่สองคือ ห้องพักของซานิวะถูกจัดแยกเป็นเรือนไว้ต่างหากและถือเป็นเขตหวงห้าม มีการกำชับเหล่าดาบทุกเล่มว่าหากไม่มีเหตุจำเป็นร้ายแรงอันใดห้ามผู้ใดย่างกรายเข้าไปเดินในเขตเรือนพัก ดังนั้นที่เรือนพักของซานิวะจึงไม่มีใครเป็นเวรทำความสะอาด ที่ข้ารู้ก็เพราะพวกดาบเด็กๆต่างบ่นกันอยู่บ่อยครั้งในวงสนทนาด้วยความกังวลว่าเรือนของซานิวะจะไม่สะอาดไม่สะดวกสบาย แต่ดูเหมือนเจ้าของเรือนจะไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับเรื่องนี้ ข้าคิดว่าอีกฝ่ายคงกลับมาทำความสะอาดเรือนหลังจากที่ได้จัดทัพให้พวกข้าไปฏิบัติหน้าที่เรียบร้อยแล้วมากกว่าจะปล่อยให้ฝุ่นจับโดยตนนั่งหายใจทิ้งอยู่เฉยๆ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ข้าสนใจ..





สิ่งที่น่าสนใจคือคนผู้นั้นไม่เคยให้ผู้ใดก้าวเข้าไปยลโฉมเรือนนอนของตนต่างหาก แม้แต่ดาบที่ได้รับใช้ใกล้ชิดหรืออยู่เคียงข้างมานานที่สุดอย่างคะชูก็ไม่ได้รับอภิสิทธิ์ใดเป็นกรณียกเว้น





เหตุใดซานิวะจึงหวงแหนที่นั่นจนถึงขนาดไม่ยอมให้ดาบที่ไว้ใจเข้าใกล้กัน?





เรื่องนี้ไว้มีโอกาสหาต้นสายปลายเหตุแล้วไต่ถามเอาทีหลังก็ยังไม่สาย แต่ข้าไม่ใช่พวกที่จะสนใจละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น เพียงแต่ข้อมูลที่ได้มากำลังทำให้ข้าเกิดความคิดชั่วแล่นที่หากเป็นยามปกติคงไม่มีวันที่ข้าจะทำเรื่องไม่สมอายุเช่นนั้น แต่คราวนี้ข้าตั้งใจไว้แล้วว่าจะจัดการสะสางความคับข้องใจที่ไม่ยอมจบนั้นให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ดังนั้นเรื่องราวของซานิวะในยามอดีตจวบจนปัจจุบันข้าจึงสนใจมากเป็นพิเศษ การที่เรือนพักนั้นไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปวุ่นวายมันก็หมายความว่าในที่แห่งนั้นข้าสามารถคุยธุระส่วนตัวกับอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมารับรู้





ในวงสนทนาเมื่อคราวก่อน คะชูเล่าให้ข้าฟังด้วยความภาคภูมิใจว่าตนเองได้รับใช้ท่านซานิวะอย่างใกล้ชิดเพียงใด แม้แต่การช่วยสางผมให้คนเป็นนายเขาก็ทำจนได้รับคำชมมาแล้วหลายครั้ง ข้าจึงสบโอกาสถามว่าแล้วเหตุใดนายท่านจึงยังปล่อยให้ผมด้านขวายาวเกะกะบดบังดวงตาเช่นนั้น คะชูกลับมีสีหน้าหม่นหมองพลางตอบเสียงเศร้าด้วยความน้อยใจระคนผิดหวัง





"ดูเหมือนว่านายท่านจะไม่ชอบให้ใครแตะต้องบริเวณนั้นน่ะครับ ข้าเองก็อยากเล็มปลายผมให้สั้นลงสักหน่อยจะได้ไม่เกะกะ แต่ท่านปฏิเสธ.." ข้านิ่งงันกับคำตอบนั้น





ใบหน้าด้านขวางั้นหรือ? จะว่าไปคนผู้นั้นก็ไม่เคยถักเปียที่ด้านขวาเลยนี่นะ..





ข้าครุ่นคิดขณะมองขนมดังโงะเสียบไม้ในมืออย่างพิจารนาสีสันของมันราวกับกำลังนึกชื่นชมฝีมือคนทำ ก่อนจะตัดสินใจส่งเข้าปากกัดไปด้านนึงเป็นคำเล็กๆ รสหวานของขนมตัดกับความขมของชาเขียวได้อย่างพอดิบพอดีทำให้ข้ายิ้มตาหยี่





น่าสนใจดี..








"ช่วงเวลาดีๆแบบนี้ดีจังเลยนะ..."





หลังเสร็จธุระกับดังโงะแสนอร่อยข้าก็ถอนหายใจอย่างผ่อนคลายบนเสื่อซึ่งอยู่ใต้เบาะนั่งเนื้อนุ่มที่เหล่าหลานๆนำมาปูให้ข้าได้นั่งจิบชาชื่นชมธรรมชาติใต้ร่มไม้ มองเห็นกลุ่มดาบหนุ่มรุ่นหลานทั้งหลายกำลังตั้งวงดื่มสุรากันอย่างคึกคักห่างไปไม่ไกลนัก จันทร์เสี้ยวของข้าจับจ้องที่ภาพความสนุกนั้นในขณะที่สมองกำลังเริ่มวางแผนการอยู่ในใจ





"ท่านก็อารมณ์ดีทุกครั้งที่มีชากับขนมนั่นแหละมิคาสึกิ"





โคกิทสึเนะมารุสหายเก่าแก่ของข้าซึ่งเพิ่งถูกปลุกขึ้นมาเมื่อสี่วันก่อนเอ่ยหยอกล้อ เขาเดินตรงมายังข้าก่อนนั่งลงเคียงข้างแล้วยกจอกสุราขึ้นจรดริมฝีปากเป็นการชวนดื่ม ข้าหัวเราะอย่างไม่ถือสา วางถ้วยชาที่ไร้ชาแล้วรับจอกที่อีกฝ่ายส่งมาให้อย่างไม่เกี่ยงงอน





"กำลังคิดเรื่องใดอยู่?" โคกิทสึเนะเอ่ยปากถาม ใบหน้าของข้ายังคงประดับรอยยิ้มก่อนทำหน้าฉงนสงสัย ถามกลับด้วยน้ำเสียงงุนงง





"หืม...เหตุใดจึงถามเช่นนั้นกัน?"





"จุ๊ๆ คิดว่าข้าเป็นสหายท่านมากี่ร้อยปีกัน มีหรือที่หน้ากากโชกุนนี้จะหลบเลี่ยงข้าได้?"






คำพูดของโคกิทสึเนะทำให้ข้ายิ้มกว้างแต่ก็ไม่ได้กล่าวความในใจอันใด เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของข้ากับคนผู้นั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้ใครมอบความเอื้อเฟื้อยุ่งเกี่ยว เมื่อเห็นข้าไม่ตอบคำสหายเชื้อสายจิ้งจอกก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ แต่คำพูดต่อมาของเขากลับดึงดูดความสนใจของข้า





"ข้าว่านายท่านคนใหม่น่าสนใจดีนะ..โดยเฉพาะกลิ่นนั่น.."





"หืม?.."





สีหน้าของบุรุษข้างตัวข้าเริ่มส่อแววเคร่งขรึมจนข้าต้องลดมือที่ถือจอกลง เป็นเรื่องแปลกที่บุคคลร่าเริงอารมณ์ดีอย่างโคกิทสึเนะจะมีสีหน้าเช่นนี้ยามเอ่ยถึงเจ้านายคนใด





"มิคาสึกิ..ในฐานะสหาย ข้าอยากถามว่าท่านรู้เรื่องนี้หรือไม่.."





โคกิทสึเนะมีท่าทีจริงจังอย่างมาก เรื่องนี้คงสำคัญเกินกว่าที่เขาจะนำไปเอ่ยให้ผู้ใดรับรู้จึงได้เอ่ยกับข้ายามสนทนากันเป็นส่วนตัวแต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ เป็นเรื่องอันใดกันที่ทำให้สหายข้าต้องมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังเช่นนี้?





"ข้าไม่เข้าใจเรื่องที่เจ้าพูดเลยโคกิทสึเนะ เจ้ากำลังหมายถึงเรื่องใ--"





"ข้าหมายถึงนายท่านซานิวะ.."





"เรื่องนั้นข้ารู้แล้ว ก็เจ้ากับข้ากำลังพูดถึงเรื่องนายท่านกันอยู่มิใช่หรือ.."





"นี่ข้าจริงจังมากนะ มิคาสึกิ.."





"ฮะฮะฮะ อย่างงั้นหรอกหรือ.."





มือที่ถือจอกสุรายกขึ้นอีกครั้ง หมดความสนใจกับท่าทีของสหายเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมเอ่ยปากเข้าเรื่องเสียที ดวงตาคมกริบดั่งสัตว์นักล่าของโคกิทสึเนะจ้องมองข้าอย่างไร้อารมณ์สนุกสนานล้อเล่น ก่อนคำพูดต่อมาจะทำเอาข้าแทบพ่นสุราทิ้ง จันทร์เสี้ยวในดวงตาเบิกกว้างกับสิ่งที่ได้ยิน ข้าหันกลับไปมองหน้าโคกิทสึเนะทันทีด้วยสีหน้าตื่นตะลึงอย่างไม่สามารถระงับอาการได้





"มิคาสึกิ....ข้าเกรงว่าซานิวะผู้นั้นจะมิใช่มนุษย์.."






!!!!













::ห้วงคิดที่ 3::









::บทที่ 3::

บ่อน้ำร้อนทำให้หน้ามืดง่าย









"มาแช่น้ำกันหรือ? งั้นก็ลงมาแช่ด้วยกันสิ"





.......






...เงียบกริบกันยกคลังแสง...







ข้ากล้าใช้คำนี้ได้เต็มปากเพราะแม้แต่ตัวข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอซานิวะในบ่อน้ำร้อน อีกทั้งพวกข้าแต่ละคนกำลังเปลือยกาย มีเพียงผ้าขาวผืนเล็กพันรอบบั้นเอวปกปิดจุดยุทธศาสตร์สำคัญไว้ไม่ให้ลอยเด่นไปเตะสายตาใคร ผิดกับอีกฝ่ายที่สวมยูคาตะตัวยาวสีขาวหม่นมาลงบ่อจึงกลายเป็นสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความตะขิดตะขวงใจยิ่ง แต่ประเดี๋ยวก่อน.. คนผู้นี้เลอะเลือนไปแล้วใช่หรือไม่?





มีผู้คนสติดีที่ไหนใส่เสื้อผ้ามาลงแช่น้ำแบบนี้กัน?






"เป็นอะไรไป?" ยังจะส่งสายตาใสซื่อมองพวกข้าอีกแหน่ะ..





"เหตุใดนายท่านจึงใส่ยูคาตะลงบ่อละขอรับ" ทาโร่ทาจิผู้เป็นหนึ่งในสี่ดาบใหญ่ประจำเรือนคุกเข่าลงข้างบ่อเบื้องหน้าเด็กหนุ่มที่เปลี่ยนมายกมือปิดปากหาวจนน้ำตาเอ่อคลอ





"อ่า..อากาศยามนี้เย็นไปหน่อยข้าไม่อยากเปลือยกายต้องลมหนาว คิดว่าจะถอดหลังแช่น้ำสักครู่"





ข้ารู้สึกเห็นใจกับสีหน้าจนด้วยเกล้าของทาโร่ทาจิเป็นอย่างยิ่ง ซานิวะผู้นี้ช่างประหลาดจนความคิดในอดีตเรื่องที่ว่าไม่มีอันใดบนโลกที่จะสร้างความฉงนให้ข้าอีกต้องสั่นคลอนจนมันแทบจะพังทลายอยู่รอมร่อ ไม่มีดาบไหนพูดอะไรต่อ ทุกเล่มกำลังมึนงงกับความคิดเจ้านายราวคนเสียศูนย์ ข้าจึงต้องช่วยแก้ไขสถานการณ์โรคใบ้นี้ด้วยการก้าวขาหย่อนร่างลงแช่น้ำเคียงข้างซานิวะพร้อมแจกจ่ายรอยยิ้มชื่นมื่นกับความร้อนพอเหมาะที่ทำให้ร่างกายข้าผ่อนคลาย





"ฮ่าห์...ได้แช่น้ำร้อนหลังฝึกดาบนี้ดีจริงๆเลยนะ"





"นายท่านกำลังแช่น้ำอยู่ ท่าน.."





"ก็นายท่านเอ่ยปากชวนข้าแล้วนี่นา การใส่ยูคาตะแช่น้ำคงเป็นประเพณีสมัยนี้สินะ ข้าไม่ถือหรอก" ข้าหัวเราะเอ่ยตัดบทคนเอ่ยปากแย้งแบบไม่สนใจ สีหน้าเหล่าดาบรุ่นหลานต่างยิ้มจืดเจือนด้วยความอับจนปัญญาจะห้ามปรามข้า จิโร่ทาจิพูดกับข้าอย่างไม่ค่อยแน่ใจที่จะเอ่ยปากบอกนัก





"ข้าว่าประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เรื่องนั้นนะขอรับท่านมิคาสึกิ.."





"ฮ่าฮ่าฮ่า อย่างนั้นหรอกหรือ? สงสัยจะเป็นข้าที่เข้าใจผิดไปจริงๆนายท่านคงเพียงขวยเขินยามเปลือยกายต่อหน้าผู้อื่นสินะ.."





.....





คลังแสงเงียบกริบกันเป็นครั้งที่สอง สาเหตุเนื่องมาจากข้าเอ่ยประโยคทำนองความนัยท้าทายเด็กหนุ่มข้างกายที่นั่งแช่น้ำคว่ำหน้าไปกับขอบบ่อ ดวงตาสีครามเหลือบมองข้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปเอ่ยกับเหล่าดาบที่ยืนออข้างบ่อไม่ยอมลงแช่





"พวกเจ้าก็ลงมาเถอะข้าไม่ถือสา เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้วสมควรได้ผ่อนคลาย"





"ขอรับนายท่าน"





สิ้นเสียงรับคำในที่สุดเหล่าดาบร่างบุรุษทั้งหลายก็ได้กฤษขยับกายลงนั่งเอกเขนกในบ่อน้ำร่วมกัน ในขณะที่ข้าคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยพลางดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ไม่ค่อยคึกคักนักเพราะเกรงใจคนข้างกายข้าอีกฝ่ายก็ยันกายลุกขึ้นจากบ่อ





ซ่า!!





เสียงน้ำจากชุดยูคาตะที่เปียกโชกไหลลงมาไม่ขาดสาย เจ้าตัวคงตัดสินใจจะกลับห้องพักแล้วกระมัง?





แม้จะไม่ได้หันไปมองเพื่อยืนยันแต่ในใจข้ากลับนึกดูแคลนถึงอาการหลบเลี่ยงไม่ยอมทนอยู่ใกล้ชิดนั้น การกระทำนั้นเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายของขีดความอดทน ข้าตัดสินใจแล้วว่าควรจะจัดการความค้างคาใจนี้ให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป เจ้าเด็กน้อยดื้อรั้นผู้นี้จะได้เลิกตั้งแง่กับข้าสักที ปฏิบัติต่อกันเยี่ยงนี้เจ้าตัวเห็นข้าเป็นดาบหรือเป็นบิดาของเขากัน?





แต่แล้วข้าก็ต้องเปลี่ยนความคิดทันใดเมื่อได้ยินเสียงผ้าชุ่มน้ำตกลงบนพื้น วินาทีเดียวกันนั้นจันทร์เสี้ยวในนัยน์ตาข้าก็เผลอเบนหาไปทางข้างบ่อ และนั่นเองที่ทำให้ข้าได้ลิ้มรสความหมายของคำว่า'ตะลึงจนเกือบลืมหายใจ'เป็นครั้งแรก..





แผ่นหลังขาวปรากฏเด่นชัดภายใต้เส้นทางที่จันทร์เสี้ยวเคลื่อนตัวลากผ่าน เอวสอบของเด็กหนุ่มมีกล้ามเนื้อแน่นกระชับผิดกับคราแรกที่คิดว่าภายใต้ร่มผ้านั่นจะอ่อนแอนุ่มนิ่มราวสตรี แน่นอนว่าบั้นท้ายตึงแน่นแบบนั้นไม่มีทางที่ใครจะมองผิดว่ากลมกลึงแบบหญิงสาวได้ มือของซานิวะยกขึ้นปลดปิ่นไม้ที่เสียบมวยผมไว้ทำให้เรือนผมสีเหมันต์ฤดูทิ้งตัวสยายลงมาคลอเคลียแผ่นหลังและบั้นเอว เขาก้มตัวลงไปหยิบผ้าผืนเล็กที่วางพาดรอไว้บนโขดหินทำให้บั้นท้ายนั้นโก่งขึ้นจนลอยเด่นกลางจันทร์เสี้ยว..





ข้ารีบผลุบตาลงต่ำทันทีเมื่อรู้สึกว่าเริ่มใช้สายตาเหลือบแลอะไรไม่เข้าท่า ก่อนเปลี่ยนเป็นมองบรรดาดาบอื่นๆที่กำลังสนทนากันเบาๆ แม้จะมีชำเลืองมองซานิวะกันบ้างแต่ก็ไม่มีใครมีสีหน้าผิดปกติอันใดอย่างที่ข้าเป็น ตอนจันทร์เสี้ยวของข้าเบนไปเห็นข้าเกือบรักษาสีหน้าเรื่อยเฉื่อยไว้ไม่อยู่ น้อยครั้งนักที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้กับข้า ร่างกายของคนเพศเดียวกันซ้ำยังเป็นเด็กอ่อนเดียงสาถึงเพียงนั้นมีอันใดน่ามองกัน?





ข้าคิดพลางปั้นรอยยิ้มประจำตัวให้ซานิวะที่กลับมาลงแช่ในบ่อข้างกายข้าอีกครั้ง เริ่มนึกเสียใจภายหลังที่เคยเอ่ยประโยคท้าทายไป พับผ่าสิ! ใครจะรู้ว่ายามคนผู้นี้เปลือยเปล่าจะสร้างความปั่นป่วนให้ข้าถึงเพียงนี้ เรือนผมสีเหมันต์ยามนี้ถูกปล่อยสยายให้เป็นอิสระไร้การผูกมัด มันจึงจับกลุ่มเป็นปอยเล็กๆหลายร้อยปอย มีทั้งลอยแผ่อยู่บนผิวน้ำใสและจมอยู่ใต้น้ำอุ่น ผิวกายขาวยามนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูจากความร้อน ดวงหน้าอ่อนเยาว์ที่ยากแก่การระบุเจาะจงเพศแดงระเรื่ออย่างน่ามอง เด็กหนุ่มที่นั่งเอกเขนกแช่น้ำข้างตัวข้าไม่ได้รู้สึกผิดแปลกอันใด กลับเป็นข้าที่อยากจะลุกหนีไปไกลๆให้จันทราในดวงตาหยุดเหลือบมองอะไรเหลวไหลชวนไร้สาระเสียที





ซานิวะกวักน้ำมาล้างหน้าคล้ายต้องการเพิ่มไออุ่นให้ตนเอง หยดน้ำที่ร่วงหล่นจากขนตาไหลไปตามผิวแก้มจนไปถึงปลายคางประหนึ่งปลายนิ้วที่ลูบไล้หยอกเย้า หยดน้ำหยาดนั้นได้ทิ้งตัวลงไปเริงร่ากับผิวลำคอขาวในขณะที่เด็กหนุ่มยันตัวให้สูงขึ้นเพื่อเอื้อมมือไปหยิบที่ขัดตัวตามคำชักชวนของจิโร่ทาจิที่อาสาจะขัดหลังให้ กลุ่มเส้นผมสีสว่างเปียกลู่แนบไปกับแผ่นอกคล้ายจงใจทำตัวเป็นไม้น้ำแทรกอำพรางปุ่มไตเล็กๆทั้งสองข้างไม่ยอมให้เผยโฉม หยดน้ำที่เริงร่าจึงถือโอกาสไถลตัววิ่งอ้อมบรรดาไม้น้ำสีขาวราวกับมีดวงตาคอยหลบหลีกแล้วทิ้งตัวครั้งสุดท้ายจากปลายยอดปุ่มไตสู่ถิ่นกำเนิดดั่งเดิมที่เคยจากมา





เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีก่อนเจ้าตัวจะลุกเดินไปทางจิโร่ทาจิที่นั่งถือผ้าขนหนูคอยท่า เมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาเข้าที่เข้าทางหลังมองเอวสอบที่ยังเล็กบางกว่าข้าตามวัยของชายหนุ่มที่ยังโตไม่เต็มที่จนอีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งหันหลังให้ ข้าก็หันกลับมาสุดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนาวเหน็บ





ฟู่ว์..





นี่ข้ากลายเป็นตาแก่สติเลอะเลือนแล้วหรืออย่างไรกันนะ? ยามนี้ข้ารู้สึกว่าตนเองหนาวยิ่งนัก จิตใจของข้าเหน็บหนาวจนแม้แต่บ่อน้ำร้อนที่โปรดปรานก็ไม่อาจบรรเทาอาการได้ ทำได้เพียงเอนหลังให้น้ำร้อนปริมอยู่เฉียดปลายคางแล้วหลับตาลงซุกซ่อนร่องรอยของสิ่งที่ตนเองเพิ่งได้ประจักษ์..







..ว่าน้ำร้อนในวันนี้ดูเหมือนจะทำให้ข้าหน้ามืดง่ายไปสักหน่อย..




















วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

::ห้วงคิดที่ 2::









::บทที่ 2::

เจ้านายคือบุคคลสร้างความคับข้อง








เกือบสัปดาห์แล้วนับตั้งแต่ที่ข้าลืมตาตื่นขึ้นมาในยุคนี้พร้อมกับมีเจ้านายคนใหม่ และข้าก็ต้องเลิกคิ้วประหลาดใจยามเห็นสำรับอาหารของผู้เป็นนายคนนั้น..





เจ้าของสำรับซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะกำลังคีบถั่วหมักวางบนข้าว จากนั้นก็เลื่อนตะเกียบไปหยิบชิ้นเต้าหู้มากัด ก่อนคีบข้าวพร้อมถั่วหมักเข้าปากอย่างสำรวมสุภาพ ข้าเคยถามเด็กๆที่อยู่ในเรือนมาก่อนหน้านี้ว่าเหตุใดคนผู้นั้นจึงเลือกกินแต่พืชผัก ทว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้คำตอบนอกจากการคาดเดาไปต่างๆนานา โควเสะสึกล่าวอย่างไม่แน่ใจนักว่าบางทีนายท่านอาจจะเป็นคนชอบถือศีลกินเจแบบเขาก็ได้ ข้าก็ไม่ได้แสดงความอยากรู้มากนักนอกจากพยักหน้ารับรู้ก่อนจิบชามองทุกคนเฮฮาไปตามเรื่องพลางนับถอยหลังในใจ





...4..3..2..1...






กึก..





"เอ่อ..นายท่าน อาหารที่ข้าทำไม่ถูกปากหรือขอรับ?" โซสะถามไถ่ด้วยความไม่แน่ใจระคนผิดหวัง คนเป็นนายทำเพียงส่งยิ้มบางๆก่อนเอ่ยปลอบใจ





"อร่อยมากจริงๆ แต่ข้าแอบกินขนมมามากไปหน่อยเลยทานได้น้อยเท่านั้น"





"งั้นกับข้าวพวกนี้.."





"เก็บไว้เถอะ เผื่อดึกดื่นข้ารู้สึกหิวจะได้นำมาอุ่นทาน"





"แต่ว่า.."





"โซสะ.."





"ขอรับ?"





"ข้าอยากมีอาหารฝีมือเจ้าไว้ทานอีกแต่ไม่อยากรบกวนเจ้ากลางดึก พอจะเก็บที่ส่วนเหลือไว้ให้ข้าได้หรือเปล่า?"





รอยยิ้มปลอบโยนกับคำกล่าวนั้นทำเอาข้าคิ้วกระตุก โซสะที่คราแรกมีสีหน้าย่ำแย่บัดนี้ริมฝีปากสั่นระริกพยายามกลั้นน้ำตาด้วยความปลื้มปิติเอ่ยตอบรัวเร็วเสียจนผู้อื่นเกรงว่าลิ้นเจ้าตัวจะพันกัน





"แน่นอนขอรับ! ขอเพียงท่านชอบต่อให้ต้องลุกขึ้นมาเข้าครัวกลางดึกข้าก็ทำได้ทั้งนั้น!"






"ก็เพราะเกรงว่ามันจะเป็นเช่นนั้นน่ะสิถึงได้ขอให้เจ้าเก็บส่วนนี้ไว้รอข้า"





เด็กหนุ่มกล่าวพลางหัวเราะร่าจนตาหยี่ หัวใจข้าไหวสั่นไปกับรอยยิ้มนั้นก่อนความหงุดหงิดอันไร้เหตุผลจะผุดขึ้นมาแทนที่ แต่จะว่าไร้เหตุผลมันก็ไม่ถูกนักเพราะข้ารู้สาเหตุที่ตนเองขุ่นเคืองดี เนื่องจากข้าเป็นดาบเพียงเล่มเดียวในเรือนนี้ที่คนผู้นั้นไม่เคยส่งเสียงร่วมหัวเราะ





ข้ามองซานิวะที่หันไปสนทนากับคะชูอย่างสนุกสนาน ดวงตาสีฟ้าครามข้างเดียวที่เผยโฉมกำลังฉายความรื่นเริงชื่นมื่นอยู่เต็มเปี่ยมจนข้านึกอยากใช้จันทร์เสี้ยวในนัยน์ตาสะกดให้มันนิ่งงันนัก แต่สิ่งที่ข้าทำได้จริงๆคือการก้มมองถ้วยชาในมือด้วยไม่อยากให้จันทร์เสี้ยวของข้าฉายภาพเหตุการณ์อันจะนำไปสู่ความคับข้องใจนั้นอีก ซานิวะทำให้ข้าหงุดหงิด สิ่งที่เขาทำไม่เคยเป็นไปตามที่ข้าต้องการ





น่าชังนัก..



ข้าไปทำสิ่งใดให้คนผู้นี้ขุ่นเคืองกัน เหตุใดเขาจึงสร้างระยะห่างความสัมพันธ์ไว้อย่างลำเอียงเช่นนี้ เหตุใดเด็กหนุ่มผู้นั้นจึงสร้างกำแพงกีดกันข้าผิดกับดาบพวกนั้นที่เปิดรอต้อนรับ ทั้งๆที่หากเป็นผู้อื่นล้วนจะมีแต่พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ใกล้ชิดข้าแม้เพียงสักครา





"มาแล้วๆ คราวนี้ท่านซานิวะจะมอบผลท้อให้ใครกัน"





เสียงโหวกเหวกดึงความสนใจข้าให้ออกจากม่านหมอกอันแสนขุ่นมัว ซานิวะยิ้มน้อยๆในมือมีผลท้อที่ผ่าวางไว้เป็นสองซีกขนาดเท่าๆกัน หลังอาหารมื้อเย็นของแต่ละวันจะมีผลไม้แจกจ่ายให้ทุกคนได้ทาน แต่จะมีดาบเพียงสี่เล่มเท่านั้นที่จะได้ทานผลท้อที่ซานิวะทำให้กินด้วยตนเอง ตั้งแต่การคัดเลือกผลท้อรสชาติดี การล้างทำความสะอาดไปจนถึงการปอกผ่า





ซานิวะจะเป็นผู้มอบผลท้อที่ตนลงมือทำทุกขั้นตอนนั้นเพียงวันละสี่ชิ้นจากผลท้อสองผลเท่านั้น ดาบทุกเล่มจึงตื่นเต้นและตั้งตาคอยกันมากเพราะนอกจากผลท้อนั้นจะรสชาติหวานล้ำกว่าผลอื่นแล้วมันยังถือเป็นเกียรติสูงสุดที่ผู้เป็นนายให้ความเอาใจใส่ อีกทั้งมันยังเป็นวิธีตกรางวัลของซานิวะสำหรับดาบเล่มไหนที่ทำผลงานดีเป็นที่ชื่นชม





ข้าเบือนหน้าหันออกไปมองบรรยากาศนอกเรือนแทนกิจกรรมที่พวกเด็กๆตั้งตาคอย ในเมื่ออีกฝ่ายทำตัวราวกับมีเรื่องผิดใจถึงเพียงนั้นข้าก็สำเนียกตนเองได้ทันทีว่าตัวข้าผู้นี้ไม่มีทางได้รับเกียรติสูงสุดที่อีกฝ่ายมีให้ ข้าคิดก่อนดื่มชาด้วยสภาพอารมณ์ที่อึมครึมประหนึ่งกลุ่มเมฆฝนก่อนฟ้าคะนอง





"ท่านปู่ๆ หันมาเร็ว"





เสียงของโฮตารุมารุที่อยู่ๆก็สะกิดแขนเสื้อเร่งเร้าทำให้ข้าต้องหันไปทางต้นเสียงก่อนจะผงะหวิดได้หงายหลังล้มตึงเมื่อเจอเข้ากับจานกระเบื้องใบนึงในระยะประชิดสายตา ข้าจับมือที่ถือจานของโฮตารุมารุออกห่างเล็กน้อยจึงได้เห็นว่าเป็นจานใส่ผลท้อซีกหนึ่ง





"มีอะไรหรือ?" ข้าถามด้วยรอยยิ้มเรื่อยเฉื่อยอย่างคุณปู่ผู้ใจดี โฮตารุมารุยิ้มกว้างเหมือนหิ่งห้อยกระพริบแสงสีนวลผ่องในยามราตรี





"ผลท้อขอรับ ท่านซานิวะกล่าวว่ามอบให้ท่าน" รอยยิ้มเสแสร้งของข้าชะงักไปเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับมารักษารอยยิ้มตามแบบฉบับภายในชั่วอึดใจ





"โอ้...นี่เป็นเงินเดือนของข้างั้นหรือ? ดีใจจัง"





ข้าหยิบผลท้อซีกนั้นมาถือก่อนส่งมันเข้าปากท่ามกลางเสียงโอดครวญของบรรดาเด็กๆที่พลาดรางวัลงวดนี้ ผลท้อรสหวานนุ่มลิ้นอย่างที่ดาบอื่นๆเคยคุยโวไว้จริงๆ ข้ายิ้มอย่างพึงพอใจก่อนถือโอกาสลอบส่งจันทร์เสี้ยวไปยังร่างของคนผู้นั้นที่กำลังกล่าวขอตัวกลับห้องพัก ความสับสนคับข้องใจของข้าเริ่มเพิ่มทวี ทั้งที่ปฏิบัติตัวเหินห่างกับข้าอย่างเจตนาแล้วเหตุใดเขาจึงเมตตามอบเกียรติสูงสุดนี้แก่ข้าด้วย?




ข้าไม่เข้าใจเด็กน้อยผู้นี้เลยจริงๆ











หลังจากพากันอิ่มหนำสำราญและแบ่งเวรกันล้างจานเรียบร้อย เหล่าผู้ใหญ่ก็พากันต้อนดาบเด็กๆไปอาบน้ำ หลังจากทำธุระอันยุ่งยากใจในฐานะพี่เลี้ยงเด็กเสร็จสิ้นแล้วพวกเขาก็ชวนข้าไปลงบ่อน้ำร้อนหลังเรือนพัก มีหรือที่ข้าต้องปฏิเสธ? ข้าชอบแช่บ่อน้ำร้อนเป็นที่สุด อุณหภูมิของมันช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งขึงหลังฝึกซ้อมได้ดียิ่ง ข้าจัดการปลดเปลื้องเครื่องแบบประจำตัวออกท่ามกลางเสียงโลหะของบรรดาเครื่องแบบที่ดาบแต่ละเล่มต่างถอดวางใส่ตระกร้าทรงเตี้ยของตนเอง





ซานิวะผู้นั้นจัดตระกร้าวางของใช้ส่วนตัวสำหรับผู้อื่นให้อย่างเป็นสัดส่วนจนข้านึกชื่นชม หากไม่นับเรื่องท่าทีคลุมเครือที่อีกฝ่ายมีให้เด็กหนุ่มผู้นั้นก็เป็นเจ้านายที่ไม่เลวเลยจริงๆ เรื่องการใช้บ่อน้ำร้อนก็เช่นกัน คนผู้นั้นกำหนดให้ดาบประเภทผู้เยาว์ได้ใช้ก่อนหลังจากนั้นดาบที่มีความยาวตั้งแต่มาตฐานขึ้นไปจึงใช้ได้ แม้ไม่มีใครเอ่ยปากอธิบายแต่ข้าก็รู้อยู่แก่ใจว่าเพราะเหตุใดเขาจึงสั่งเช่นนั้น





"หญิงสาวในตอนนั้นที่ข้าได้ลิ้มรสน่ะนะ..."





เสียงโอ้อวดความเป็นบุรุษเปิดประเด็นเริ่มขึ้นก่อนดาบทุกเล่มจะได้ก้าวเท้าเปิดประตูเข้าบ่อน้ำพุร้อนซะอีก แต่ก็เพราะสาเหตุนี้ละนะที่ทำให้ต้องต้อนเด็กๆเข้านอนก่อน เรื่องลึกซึ้งของผู้ใหญ่เช่นนี้ไม่ควรมีเด็กวัยอ่อนเดียงสาเข้ามาร่วมสนทนารู้เห็น





"ไม่เอาน่ะ ข้าฟังเรื่องนี้จนเบื่อแล้ว เจ้าเคยแค่นางเดียวหรือไร?"





"ทำเป็นพูดดีไป อย่างเจ้าละเคยได้สักนางหรือยัง?"





ดูเหมือนว่าเกมโอ้อวดเกทับความเป็นชายจะเพิ่งเริ่มต้นเข้าสู่ความดุเดือด ทว่าข้าก็ปล่อยให้บทสนทนาของหลานๆด้านหลังลอยผ่านหูไปโดยไม่คิดจะใส่ใจห้ามปราม จะอย่างไรก็โตเป็นหนุ่มเต็มตัวกันหมดแล้วการพูดคุยแข่งขันกันในเรื่องพวกนี้อย่างโจ่งแจ้งย่อมไม่ใช่แปลก ข้าคิดพลางยื่นมือเปิดประตูไม้บานเลื่อน ขยับกายย่างเท้าก้าวเข้าไปในกลุ่มหมอกควันที่ลอยแผ่มาจากบ่อน้ำพุร้อนก่อนปิดประตูตามหลังปิดกั้นบทสนทนาอันแสนวาบหวิวไว้ชั่วคราวในขณะที่ดาบเล่มอื่นๆเปิดประตูตามข้ามาติดๆ





ครืด..






"หนวกหูกันทั้งคู่เลย.."





"อย่ามาแสไม่เข้าเรื่องน่ะโอคุริคาระ"





"เอาน่ะๆ อย่าทะเลาะกัน ที่นี่ยิ่งใกล้ห้องพักของนายท่านอยู่เดี๋ยวท่านก็ตื่น..หรอก.."





ปากคนเอ่ยปรามชะงักค้างที่ประโยคท้ายเป็นวินาทีเดียวกับที่ข้าชะงักฝีเท้าเมื่อมาถึงข้างบ่อ ร่างเนื้อที่กำลังนอนคว่ำหน้าหนุนท่อนแขนกับขอบบ่อค่อยๆปรือตาขึ้นมอง ดวงตาสีฟ้าครามข้างซ้ายที่ไร้การบดบังจากเรือนผมสีเหมันต์ฉายชัดถึงความประหลาดใจปนงุนงง ก่อนเจ้าตัวจะยกมือขึ้นเอ่ยทักทายพวกข้าด้วยท่าทีเกียจคร้านอย่างเป็นธรรมชาติ





"ไง.."





!!!!