วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

::ห้วงคิดที่ 3::









::บทที่ 3::

บ่อน้ำร้อนทำให้หน้ามืดง่าย









"มาแช่น้ำกันหรือ? งั้นก็ลงมาแช่ด้วยกันสิ"





.......






...เงียบกริบกันยกคลังแสง...







ข้ากล้าใช้คำนี้ได้เต็มปากเพราะแม้แต่ตัวข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอซานิวะในบ่อน้ำร้อน อีกทั้งพวกข้าแต่ละคนกำลังเปลือยกาย มีเพียงผ้าขาวผืนเล็กพันรอบบั้นเอวปกปิดจุดยุทธศาสตร์สำคัญไว้ไม่ให้ลอยเด่นไปเตะสายตาใคร ผิดกับอีกฝ่ายที่สวมยูคาตะตัวยาวสีขาวหม่นมาลงบ่อจึงกลายเป็นสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความตะขิดตะขวงใจยิ่ง แต่ประเดี๋ยวก่อน.. คนผู้นี้เลอะเลือนไปแล้วใช่หรือไม่?





มีผู้คนสติดีที่ไหนใส่เสื้อผ้ามาลงแช่น้ำแบบนี้กัน?






"เป็นอะไรไป?" ยังจะส่งสายตาใสซื่อมองพวกข้าอีกแหน่ะ..





"เหตุใดนายท่านจึงใส่ยูคาตะลงบ่อละขอรับ" ทาโร่ทาจิผู้เป็นหนึ่งในสี่ดาบใหญ่ประจำเรือนคุกเข่าลงข้างบ่อเบื้องหน้าเด็กหนุ่มที่เปลี่ยนมายกมือปิดปากหาวจนน้ำตาเอ่อคลอ





"อ่า..อากาศยามนี้เย็นไปหน่อยข้าไม่อยากเปลือยกายต้องลมหนาว คิดว่าจะถอดหลังแช่น้ำสักครู่"





ข้ารู้สึกเห็นใจกับสีหน้าจนด้วยเกล้าของทาโร่ทาจิเป็นอย่างยิ่ง ซานิวะผู้นี้ช่างประหลาดจนความคิดในอดีตเรื่องที่ว่าไม่มีอันใดบนโลกที่จะสร้างความฉงนให้ข้าอีกต้องสั่นคลอนจนมันแทบจะพังทลายอยู่รอมร่อ ไม่มีดาบไหนพูดอะไรต่อ ทุกเล่มกำลังมึนงงกับความคิดเจ้านายราวคนเสียศูนย์ ข้าจึงต้องช่วยแก้ไขสถานการณ์โรคใบ้นี้ด้วยการก้าวขาหย่อนร่างลงแช่น้ำเคียงข้างซานิวะพร้อมแจกจ่ายรอยยิ้มชื่นมื่นกับความร้อนพอเหมาะที่ทำให้ร่างกายข้าผ่อนคลาย





"ฮ่าห์...ได้แช่น้ำร้อนหลังฝึกดาบนี้ดีจริงๆเลยนะ"





"นายท่านกำลังแช่น้ำอยู่ ท่าน.."





"ก็นายท่านเอ่ยปากชวนข้าแล้วนี่นา การใส่ยูคาตะแช่น้ำคงเป็นประเพณีสมัยนี้สินะ ข้าไม่ถือหรอก" ข้าหัวเราะเอ่ยตัดบทคนเอ่ยปากแย้งแบบไม่สนใจ สีหน้าเหล่าดาบรุ่นหลานต่างยิ้มจืดเจือนด้วยความอับจนปัญญาจะห้ามปรามข้า จิโร่ทาจิพูดกับข้าอย่างไม่ค่อยแน่ใจที่จะเอ่ยปากบอกนัก





"ข้าว่าประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เรื่องนั้นนะขอรับท่านมิคาสึกิ.."





"ฮ่าฮ่าฮ่า อย่างนั้นหรอกหรือ? สงสัยจะเป็นข้าที่เข้าใจผิดไปจริงๆนายท่านคงเพียงขวยเขินยามเปลือยกายต่อหน้าผู้อื่นสินะ.."





.....





คลังแสงเงียบกริบกันเป็นครั้งที่สอง สาเหตุเนื่องมาจากข้าเอ่ยประโยคทำนองความนัยท้าทายเด็กหนุ่มข้างกายที่นั่งแช่น้ำคว่ำหน้าไปกับขอบบ่อ ดวงตาสีครามเหลือบมองข้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปเอ่ยกับเหล่าดาบที่ยืนออข้างบ่อไม่ยอมลงแช่





"พวกเจ้าก็ลงมาเถอะข้าไม่ถือสา เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้วสมควรได้ผ่อนคลาย"





"ขอรับนายท่าน"





สิ้นเสียงรับคำในที่สุดเหล่าดาบร่างบุรุษทั้งหลายก็ได้กฤษขยับกายลงนั่งเอกเขนกในบ่อน้ำร่วมกัน ในขณะที่ข้าคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยพลางดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ไม่ค่อยคึกคักนักเพราะเกรงใจคนข้างกายข้าอีกฝ่ายก็ยันกายลุกขึ้นจากบ่อ





ซ่า!!





เสียงน้ำจากชุดยูคาตะที่เปียกโชกไหลลงมาไม่ขาดสาย เจ้าตัวคงตัดสินใจจะกลับห้องพักแล้วกระมัง?





แม้จะไม่ได้หันไปมองเพื่อยืนยันแต่ในใจข้ากลับนึกดูแคลนถึงอาการหลบเลี่ยงไม่ยอมทนอยู่ใกล้ชิดนั้น การกระทำนั้นเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายของขีดความอดทน ข้าตัดสินใจแล้วว่าควรจะจัดการความค้างคาใจนี้ให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป เจ้าเด็กน้อยดื้อรั้นผู้นี้จะได้เลิกตั้งแง่กับข้าสักที ปฏิบัติต่อกันเยี่ยงนี้เจ้าตัวเห็นข้าเป็นดาบหรือเป็นบิดาของเขากัน?





แต่แล้วข้าก็ต้องเปลี่ยนความคิดทันใดเมื่อได้ยินเสียงผ้าชุ่มน้ำตกลงบนพื้น วินาทีเดียวกันนั้นจันทร์เสี้ยวในนัยน์ตาข้าก็เผลอเบนหาไปทางข้างบ่อ และนั่นเองที่ทำให้ข้าได้ลิ้มรสความหมายของคำว่า'ตะลึงจนเกือบลืมหายใจ'เป็นครั้งแรก..





แผ่นหลังขาวปรากฏเด่นชัดภายใต้เส้นทางที่จันทร์เสี้ยวเคลื่อนตัวลากผ่าน เอวสอบของเด็กหนุ่มมีกล้ามเนื้อแน่นกระชับผิดกับคราแรกที่คิดว่าภายใต้ร่มผ้านั่นจะอ่อนแอนุ่มนิ่มราวสตรี แน่นอนว่าบั้นท้ายตึงแน่นแบบนั้นไม่มีทางที่ใครจะมองผิดว่ากลมกลึงแบบหญิงสาวได้ มือของซานิวะยกขึ้นปลดปิ่นไม้ที่เสียบมวยผมไว้ทำให้เรือนผมสีเหมันต์ฤดูทิ้งตัวสยายลงมาคลอเคลียแผ่นหลังและบั้นเอว เขาก้มตัวลงไปหยิบผ้าผืนเล็กที่วางพาดรอไว้บนโขดหินทำให้บั้นท้ายนั้นโก่งขึ้นจนลอยเด่นกลางจันทร์เสี้ยว..





ข้ารีบผลุบตาลงต่ำทันทีเมื่อรู้สึกว่าเริ่มใช้สายตาเหลือบแลอะไรไม่เข้าท่า ก่อนเปลี่ยนเป็นมองบรรดาดาบอื่นๆที่กำลังสนทนากันเบาๆ แม้จะมีชำเลืองมองซานิวะกันบ้างแต่ก็ไม่มีใครมีสีหน้าผิดปกติอันใดอย่างที่ข้าเป็น ตอนจันทร์เสี้ยวของข้าเบนไปเห็นข้าเกือบรักษาสีหน้าเรื่อยเฉื่อยไว้ไม่อยู่ น้อยครั้งนักที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้กับข้า ร่างกายของคนเพศเดียวกันซ้ำยังเป็นเด็กอ่อนเดียงสาถึงเพียงนั้นมีอันใดน่ามองกัน?





ข้าคิดพลางปั้นรอยยิ้มประจำตัวให้ซานิวะที่กลับมาลงแช่ในบ่อข้างกายข้าอีกครั้ง เริ่มนึกเสียใจภายหลังที่เคยเอ่ยประโยคท้าทายไป พับผ่าสิ! ใครจะรู้ว่ายามคนผู้นี้เปลือยเปล่าจะสร้างความปั่นป่วนให้ข้าถึงเพียงนี้ เรือนผมสีเหมันต์ยามนี้ถูกปล่อยสยายให้เป็นอิสระไร้การผูกมัด มันจึงจับกลุ่มเป็นปอยเล็กๆหลายร้อยปอย มีทั้งลอยแผ่อยู่บนผิวน้ำใสและจมอยู่ใต้น้ำอุ่น ผิวกายขาวยามนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูจากความร้อน ดวงหน้าอ่อนเยาว์ที่ยากแก่การระบุเจาะจงเพศแดงระเรื่ออย่างน่ามอง เด็กหนุ่มที่นั่งเอกเขนกแช่น้ำข้างตัวข้าไม่ได้รู้สึกผิดแปลกอันใด กลับเป็นข้าที่อยากจะลุกหนีไปไกลๆให้จันทราในดวงตาหยุดเหลือบมองอะไรเหลวไหลชวนไร้สาระเสียที





ซานิวะกวักน้ำมาล้างหน้าคล้ายต้องการเพิ่มไออุ่นให้ตนเอง หยดน้ำที่ร่วงหล่นจากขนตาไหลไปตามผิวแก้มจนไปถึงปลายคางประหนึ่งปลายนิ้วที่ลูบไล้หยอกเย้า หยดน้ำหยาดนั้นได้ทิ้งตัวลงไปเริงร่ากับผิวลำคอขาวในขณะที่เด็กหนุ่มยันตัวให้สูงขึ้นเพื่อเอื้อมมือไปหยิบที่ขัดตัวตามคำชักชวนของจิโร่ทาจิที่อาสาจะขัดหลังให้ กลุ่มเส้นผมสีสว่างเปียกลู่แนบไปกับแผ่นอกคล้ายจงใจทำตัวเป็นไม้น้ำแทรกอำพรางปุ่มไตเล็กๆทั้งสองข้างไม่ยอมให้เผยโฉม หยดน้ำที่เริงร่าจึงถือโอกาสไถลตัววิ่งอ้อมบรรดาไม้น้ำสีขาวราวกับมีดวงตาคอยหลบหลีกแล้วทิ้งตัวครั้งสุดท้ายจากปลายยอดปุ่มไตสู่ถิ่นกำเนิดดั่งเดิมที่เคยจากมา





เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีก่อนเจ้าตัวจะลุกเดินไปทางจิโร่ทาจิที่นั่งถือผ้าขนหนูคอยท่า เมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาเข้าที่เข้าทางหลังมองเอวสอบที่ยังเล็กบางกว่าข้าตามวัยของชายหนุ่มที่ยังโตไม่เต็มที่จนอีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งหันหลังให้ ข้าก็หันกลับมาสุดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนาวเหน็บ





ฟู่ว์..





นี่ข้ากลายเป็นตาแก่สติเลอะเลือนแล้วหรืออย่างไรกันนะ? ยามนี้ข้ารู้สึกว่าตนเองหนาวยิ่งนัก จิตใจของข้าเหน็บหนาวจนแม้แต่บ่อน้ำร้อนที่โปรดปรานก็ไม่อาจบรรเทาอาการได้ ทำได้เพียงเอนหลังให้น้ำร้อนปริมอยู่เฉียดปลายคางแล้วหลับตาลงซุกซ่อนร่องรอยของสิ่งที่ตนเองเพิ่งได้ประจักษ์..







..ว่าน้ำร้อนในวันนี้ดูเหมือนจะทำให้ข้าหน้ามืดง่ายไปสักหน่อย..




















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น