วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558

[ตอนพิเศษ] บันทึกของซานิวะ 3::










::บันทึกซานิวะ 3::


ช่วงวัยที่จนใจจะหลีกเลี่ยง










"นายท่าน! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง!?" เสียงร้อนรนที่ดังอยู่ริมหูทำให้ข้าปรือตาขึ้นมองเจ้าของอ้อมแขนที่กำลังประคองร่างข้า ดวงตากวาดมองรอบตัวอย่างสำรวจก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างโล่งใจระคนยินดี





"สำเร็จสินะ.. ดีเหลือเกิน..แค๊กๆๆ"





"นายท่าน!! เลือด.." ข้ามองฝ่ามือเปื้อนโลหิตหลังตนเองปิดปากไอออกมาอย่างรุนแรง รสหวานเอียนพร้อมกลิ่นคาวคละคลุ้งอยู่เต็มปากทำให้ข้าแน่ใจว่าร่างกายนี้ไม่สามารถทนรับพลังมหาศาลที่เก็บกักมานานปีได้อีกแล้ว





"ไม่เอาน่ะคะชู.. อย่าทำหน้าเหมือนข้าจะตายเช่นนั้นสิ"





ข้ายิ้มบางๆเมื่อเห็นสีหน้าของศาสตราเล่มแรกของข้า คะชูยามนี้ขอบตาแดงก่ำเม้มปากแน่น สีหน้าย่ำแย่เหมือนเห็นข้าเป็นคนป่วยใกล้ตายอย่างไรอย่างนั้น ช่างเป็นเรื่องน่าปลื้มเสียจริงที่จะมีใครสักคนห่วงใยข้าเช่นนี้ แต่ข้าแน่ใจว่าตนเองจะมีอายุยืนยาวหากยอมรับชะตากรรมที่ตัวข้านั้นพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอดด้วยการสะกดพลังในดวงตาข้างขวา..





"ขะ ข้าไม่ได้คิดว่าท่านจะตายเสียหน่อย..แต่ท่านก็ห้ามตายนะ!!" เจ้าตัวเบนสายตาไปทางอื่นบ่นอุบอิบอย่างไม่ยอมรับ ข้าพยักหน้าน้อยๆกับคำสั่งของศาสตราผู้เป็นคู่หู





"กลับเรือนกันเถอะ.."





"แต่ใบหน้ากับดวงตาของท่าน.." คะชูชะงักคำพูดเมื่อข้าหันมอง คิดว่าเขาคงเพิ่งนึกออกว่าข้าเคยสั่งความอันใดเอาไว้ ข้ายิ้มอย่างไม่ถือสา ใช้มือสางเส้นผมด้านหน้านั้นกลับมาในที่ๆมันควรอยู่ก่อนเอ่ยชวนคะชูอีกครั้งราวไม่เคยมีประโยคใดก่อนหน้านั้นลอยผ่านหู





"ไปกันเถอะ"





"ขอรับ.."




......





มิคาสึกิอาการสาหัสนักแต่โชคุไดคิริกลับสาหัสยิ่งกว่า หากไม่มีเครื่องรางที่ข้ามอบให้ไว้โดคุไดคิริคงถึงคราวแตกดับไปตั้งแต่ในสนามรบแล้ว แต่ถึงกระนั้นสภาพดาบซึ่งเป็นร่างจริงของเขายามนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่าเกินเยียวยาจนไม่อาจมีวิธีใดรักษา





         นอกจากข้าจะทุ่มกำลังลงมือเอง..




ข้ามองร่างของศาสตราหนุ่มผู้มักใส่ที่คาดตาอันเป็นการระลึกถึงผู้เป็นนายคนแรกนอนหมดสติอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาเคร่งขรึม ข้าคิดว่าตนเองพอจะมีหนทางช่วยเหลือโชคุไดคิริ แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยสิ่งที่เท่าเทียมคุ้มค่าซึ่งข้ารู้ดีว่าในยามนี้ตนเองมีสิ่งใดที่สมราคาพอจะจ่าย.. แต่..





เฮอะ.. ข้าลำบากใจยิ่งนักที่นับจากนี้ไปตนเองต้องเผชิญหน้ากับสภาวะที่พยายามยื้อเวลามาโดยตลอด ถึงจะรู้ก็เถอะว่ายื้อไว้ได้อีกไม่นานแต่ก็ไม่คาดว่าจะรวดเร็วกันถึงเพียงนี้ นับตั้งแต่คลายผนึกที่ตาขวาข้าก็เริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั้นตัวขึ้นมาในทันทีที่ลืมตาตื่น แต่เอาเถิด.. อะไรจะเกิดก็คงต้องปล่อยให้มันเกิด จะฝืนธรรมชาติไว้ก็กระไรอยู่..





"โซสะเจ้าออกไปก่อน คอยดูแลศาสตราเล่มอื่นๆให้ดี หากไม่มีคำสั่งข้าห้ามใครเข้ามาในห้องนี้" โซสะยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาก่อนจะพยักหน้ารับคำสั่งอย่างว่าง่าย อ่า..ก่อนหน้านี้ข้าขึ้นเสียงใส่เขาตอนกำลังขาดสตินี่นะ ไว้เสร็จจากเรื่องนี้ข้าคงต้องออกไปหาซื้อของขวัญมาปลอบใจเขาเสียหน่อย..





ส่วนตอนนี้..





"เป็นโชคดีของเจ้าจริงๆนะที่ข้าไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้แล้ว" ข้าพึมพำหยอกเย้าแม้จะรู้ว่าร่างที่นอนอยู่ไม่มีทางได้ยินก่อนจะหยิบมีดสั้นซึ่งข้าพกติดตัวขึ้นมา มืออีกข้างจับรวบเส้นผมที่ยาวเกือบบั่นเอวนั้นและ..





ฉับ!





"อ่า..ตัดเบี้ยวไปเยอะเลยแหะ.." แต่ช่างเถอะไว้ข้าค่อยให้คะชูเล็มให้อีกที...





ข้าคิดพลางมองเส้นผมมากมายในมือที่เคยยาวสยายเต็มแผ่นหลังอย่างไม่คิดอาลัยอาวรณ์ เส้นผมที่มีมนต์อาคมอยู่เต็มเปี่ยมจากการพยายามกระจายพลังส่วนเกินซึ่งเล็ดลอดผนึกมานานปีคือค่าตอบแทนที่ข้าจะจ่าย ก็ไม่ได้มีอันใดเสียหายสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์นี่นะ..





อึก!..





"ตอนนี้เลยงั้นหรือ? หึหึ..ไม่คิดจะให้เตรียมใจกันเลยสินะ.." เหงื่อกาฬผุดพรายไหลมาตามหน้าผาก ร่างกายของข้ากำลังเข้าสู่สภาวะเปลี่ยนสภาพ





ต้องรีบแล้ว..



หากเป็นยามที่ร่างกายกำลังปรับเปลี่ยนเพื่อให้สามารถรองรับพลังเช่นนี้เกรงว่าจะใช้กำลังไปจนสิ้นสติเป็นแน่ ข้าพยายามรวบรวมสมาธิก่อนถือโอกาสรวมพลังบริสุทธิ์ที่กำลังทะลักทลายออกมาให้ไปอยู่ในเส้นผม ริมฝีปากกัดปลายนิ้วโป้งลากหยาดโลหิตที่ไหลซึมออกมาเป็นอักขระโบราณรอบร่างศาสตราที่นอนอยู่จนพื้นเสื่อคาตามิยามนี้กลายเป็นลวดลายอักษรคล้ายแผ่นยันต์





ระหว่างวาดเวทย์อาคมข้าก็พึมพำคาถาคืนสภาพ สมาธิตั้งมั่นแม้ร่างกายจะเริ่มรู้สึกหนักอึ้งขึ้นทีละน้อย แรงกดดันของพลังที่พวยพุ่งจากตาขวาราวทำนพแตกสร้างความปวดร้าวไปทั้งร่างราวตัวข้าเป็นศาสตราที่กำลังแตกสลาย แต่ข้าก็ไม่ได้ดิ้นรนต่อต้านอันใดเพื่อสะกดมัน อีกทั้งยังเอาพลังที่กำลังบดขยี้ข้าอยู่นี้ใส่ไปในโลหิตที่วาดออกมาเป็นอักษรยันต์





เมื่ออักษรตัวสุดท้ายถูกวาดข้าก็จัดการโยนเส้นผมทั้งหมดในมือขึ้นไปเหนือเขตแดนที่วาดไว้ พลันอักษรเลือดก็เปล่งแสงสีขาวสว่างจ้าก่อนจะเริ่มดูดกลืนเส้นผมที่สะสมพลังเหล่านั้นในฐานะเครื่องเซ่นสังเวยในขณะที่บาดแผลสาหัสสากรรจ์บนร่างกับความเสียหายของดาบโชคุไดคิริค่อยๆจางหายไปทีละน้อย ข้าที่นั่งหายใจหอบอยู่นอกเขตอาคมจึงยิ้มออก ข้าทำสำเร็จ.. บาดแผลของโชคุไดคิริจะอันตธานไปราวไม่เคยมีมาก่อน แค่นี้ข้าวางใจได้แล้ว..





เมื่อเห็นว่าผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ มันก็ถึงเวลาที่ข้าจะยินยอมพร้อมใจทิ้งร่างปล่อยกายให้ตนเองสิ้นสติไปกับความแสบร้อนซึ่งดวงตาขวายังคงกระหน่ำออกมาบดขยี้จนคล้ายกับว่าตัวข้ากำลังหลอมละลายด้วยความร้อนระอุของเปลวเพลิงในห้วงอเวจี..





แต่ข้ารู้ดีว่าเมื่อลืมตาตื่นข้าจะรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่..








..กับวัยเจริญพันธุ์ที่ข้าพยายามยื้อเวลาหลีกเลี่ยง..











1 ความคิดเห็น: