วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

[ตอนพิเศษ] บันทึกของซานิวะ 1::








::บันทึกซานิวะ 1::

ศาสตราบางเล่มนั้นเลี้ยงดูยาก













ข้าคือซานิวะ..





บุคคลผู้มีพลังแฝงเร้นในการชำระล้างปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ข้าได้ทำหน้าที่อันทรงเกียรตินี้มาตั้งแต่เมื่ออายุได้16 ภารกิจของข้าคือการปกป้องประวัติศาสตร์ไม่ให้ผิดรูปแบบไปจากที่ควรจะเป็นด้วยการปลุกจิตวิญญาณเหล่าศาสตราขึ้นมาใช้ประหนึ่งเป็นแขนขาตนเอง ศาสตราของข้าทุกเล่มล้วนมาจากอดีตแต่ละยุคสมัย เรื่องราวในอดีตกาลเป็นส่วนเสริมสร้างความแตกต่างให้พวกเขามีบุคคลิกนิสัยในแบบของตนเอง





คะชู คิโยมิสึ คือศาสตราเล่มแรกที่ข้าพบและทำการปลุกชีพ อดีตของเขาทำให้ข้าสงสารนักจึงให้ความใส่ใจมากเป็นพิเศษ แม้จะมีศาสตราอื่นในอาณัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแต่ข้าก็ไม่เคยหลงลืมหรือละเลยศาสตราเล่มแรกซึ่งทุ่มเทแรงกายให้ข้าได้บรรลุเป้าหมายทุกอย่าง





นอกเหนือจากหน้าที่ปกป้องประวัติศาสตร์แล้วศาสตราของข้าคือสิ่งที่ข้าทุ่มเทใส่ใจ ข้าเอ็นดูพวกเขานัก เพราะหากไม่มีศาสตราเหล่านี้ชีวิตของข้าคงเต็มไปด้วยความเงียบเหงาแต่เมื่อได้มีพวกเขาเข้ามาเป็นส่วนนึงในชีวิตข้าก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างอีกต่อไป





เหล่ามีดสั้นมอบความสนุกสนานรื่นเริงให้ข้า ข้ามักรู้สึกว่าตนเองได้เป็นพี่ชายที่เด็กเหล่านั้นเคารพนับถือ แม้จะไม่เคยมีพี่น้องมาก่อนแต่ความรู้สึกปลื้มปิติเวลาที่เห็นพวกเขาตั้งใจทำอะไรเพื่อข้าก็คงจะไม่ต่างจากความรู้สึกของคนเป็นพี่ชายนัก เหล่าดาบทั้งหลายก็ทำให้ข้ารู้สึกว่าตนเองเป็นผู้นำที่ดีซึ่งพวกเขาสามารถฝากความหวังและพึ่งพาได้ แม้ในบ้างครั้งข้าจะรู้สึกว่าตนเองได้รับความเอื้อเอ็นดูแบบน้องชายที่พวกเขาต้องคอยดูแลก็ตาม แต่ข้าก็รู้สึกดีที่มันเป็นเช่นนั้น ศาสตราทุกเล่มดีกับข้ามากและดีมาตั้งแต่คราแรกที่พวกเขาลืมตาตื่น





ทว่ามีเพียงเล่มเดียวที่เป็นข้อยกเว้น..





'มิคาสึกิ มุเนะจิกะ'





ศาสตราเพียงเล่มเดียวที่ข้าไม่อาจทำความเข้าใจได้





........











ดาบเล่มนี้ไม่ชอบหน้าข้า..





นั่นคือสิ่งที่ข้ารู้จากการได้เห็นเศษเสี้ยวอารมณ์ในนัยน์ตารูปจันทร์เสี้ยว แม้เจ้าตัวจะคลี่รอยยิ้มเหมือนยินดีแต่ข้ารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการข้าเป็นนาย สิ่งที่สะท้อนในดวงตานั้นคือความเบื่อหน่ายที่เก็บงำไว้ภายใต้รอยยิ้มอ่อนโยน แต่ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องติดตามข้าไม่ว่ากรณีใดๆ ข้าค่อนข้างเห็นใจในความอึดอัดที่อีกฝ่ายเก็บกักไว้จึงไม่ได้ห้ามปรามอะไรกับการที่เขาประกาศว่าตนเป็นศาสตราระดับ'ผู้อาวุโส'ของเรือน





สำหรับข้าแล้ว มิคาสึกิมุเนะจิกะเป็นหนึ่งในห้ายอดศาสตราที่เอาใจใส่ได้ยากที่สุด เขาไม่ต้องการข้าเป็นนาย ไม่ต้องการสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ ไม่ได้ต้องการความเอ็นดูหรือการเห็นค่าความสำคัญอย่างที่ดาบเล่มอื่นปราถนา สิ่งที่เขาแสดงออกทางกริยาว่าต้องการคือความเรียบง่ายและเงียบสงบ อยู่กับห้วงความคิดของตนเองที่มักจะนำพาให้เจ้าตัวเหม่อมองไปในที่ซึ่งไกลแสนไกล..





ด้วยเหตุที่ไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร ข้าจึงไม่ได้เข้าไปกะเกณฑ์คาดหวังเรื่องใดจากอีกฝ่ายมากนัก ในเมื่อเขาไม่ต้องการความสนิทสนมจากข้าหรือศาสตราเล่มไหน ไม่ได้ปราถนาที่จะให้ผู้ใดข้องเกี่ยวโดยไม่จำเป็นข้าก็จะจัดการดูแลให้เป็นไปตามนั้น ข้าคิดว่าเรื่องที่ทำไปเป็นเรื่องสมควรเหมาะสมตามความต้องการที่มิคาสึกิอยากให้เป็น แต่มิคาด..





ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบขี้หน้าข้า





...มากกว่าเดิม?...









ราวสัปดาห์ก่อนมิคาสึกิเริ่มจ้องมองข้าด้วยสายตาที่ข้าอ่านไม่ออก อีกทั้งยังชอบเอ่ยปากชวนข้าร่วมสนทนากับเขาตามลำพัง บุรุษหนุ่มผู้มีใบหน้าโดดเด่นคมคายกำลังส่งยิ้มให้ข้าแต่ดวงตาอันงดงามประหนึ่งจันทร์เสี้ยวที่ลอยเด่นนั้นกลับแฝงเร้นด้วยบางสิ่งที่ข้าไม่อาจคาดเดา ทำเอาข้าอยากถอยห่างไปอย่างสุภาพให้เร็วที่สุดเสียทุกครั้งด้วยกังวลว่าจะสร้างความขุ่นใจให้อีกฝ่ายยิ่งกว่าเดิม ถึงเขาจะไม่ชอบหน้าข้าแต่ข้าก็ไม่อยากถูกศาสตราของตนเองเกลียดนะ..





ข้าเคยคิดว่าเขาไม่ชอบหน้าข้าด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง ข้าจึงพยายามไม่ไปยุ่งเกี่ยวหรือใกล้ชิดกับเขาถ้าไม่จำเป็น แต่ทว่าตอนอยู่รวมกันในบ่อน้ำร้อนเขากลับเป็นฝ่ายตรงเข้ามานั่งข้างกายข้าก่อน ข้างุนงงกับความใกล้ชิดที่ไม่คาดคิดแต่บางทีเขาคงไม่ได้ตั้งใจให้มีผู้อื่นอยู่ข้างๆ ข้าจึงขึ้นจากบ่อเพื่อถอดยูคาตะก่อนหยิบผ้ามาพันรอบเอวแบบคนอื่นๆแล้วมองหาที่นั่งใหม่





ทว่าพื้นที่ดังกล่าวกำลังมีดาบเล่มอื่นจับจองใช้สอยกันอย่างสุขสำราญ หากข้าเข้าไปขอนั่งแทรกกลางบางทีพวกเขาอาจเกิดความประหม่าเก้อเขิน ข้าจึงจำใจต้องกลับไปนั่งที่เดิม มิคาสึกิหันมายิ้มให้ตามมารยาทก่อนจะเบือนสายตากลับไปจ้องมองเหล่าพวกพ้องที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส ข้าจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตานั่งกวักน้ำมาลูบหน้าตนเองเงียบๆ รู้สึกลำบากใจจนแทบทนไม่ไหวกับบรรยากาศเช่นนี้





แต่แล้วไม่นานนักสวรรค์ก็เห็นใจด้วยการส่งจิโร่ทาจิซึ่งเอ่ยปากอาสาขัดหลังให้ ในใจข้าอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความซาบซึ้งตื้นตันใจ จิโร่ทาจิมาครั้งนี้เหมือนได้ช่วยข้าไว้จริงๆ ข้าจึงได้หลุดพ้นจากความลำบากใจที่ข้ามีต่อศาสตราข้างกายเสียที ข้าลุกขึ้นจากบ่อเดินตรงไปหาจิโร่ทาจิ รู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้องจากใครสักคนแต่ก็ข้าไม่ได้สนใจอะไรมาก ข้านั่งลงหันหลังให้ศาสตราผู้งดงามทว่าแข็งแกร่งเพื่อรับการปรนนิบัติ





ระหว่างการขัดหลังข้าก็ถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างเคลิบเคลิ้มด้วยความสบายก่อนจะลืมตาโพลงรีบหันมาจับมือจิโร่ทาจิที่กำลังเลื่อนมือมาแถวเส้นผมบริเวณท้ายทอยไว้ได้อย่างหวุดหวิด





"นายท่าน?..มีอะไรหรือขอรับ หรือท่านไม่สบาย?"





สีหน้าของจิโร่ทาจิดูฉงนสงสัยกับการยับยั้งอันไร้เหตุผล ข้าเกือบหลุดปากบอกความจริงไปแล้วว่าเขาจะแตะต้องส่วนไหนของข้าก็ได้ยกเว้นใบหน้ากับท้ายทอย!! ยังดีที่ข้าพอจะมีไหวพริบเหลืออยู่บ้างไม่ได้ทำหล่นกระเด็นหายไปกับความตกใจเสียหมด สมองข้ารีบระดมความคิดภายในไม่กี่วินาทีก่อนจะยิ้มบางๆพลางเอ่ยปากตอบด้วยน้ำเสียงไร้ความกังวลแม้ว่าแท้จริงแล้วใจข้ายังคงกองแทบเท้าด้วยความตื่นตกใจ





"ข้าเริ่มหนาวแล้วละ ไปแช่น้ำกันอีกดีไหม?" จิโร่ทาจิพยักหน้าด้วยรอยยิ้มยินดี หมดความข้องใจสงสัย ข้าแอบถอนหายใจขณะเดินตามหลังไปนั่งกับเขา เกือบไปแล้ว.. แม้การแช่น้ำร้อนจะเป็นผลดีกับข้าในเวลานี้แต่ก็ยังประมาทไม่ได้เลยจริงๆ ใครจะคิดกันละว่าพวกศาสตราจะยังไม่ได้ใช้โรงอาบน้ำ ถ้าข้ารู้อยู่ก่อนข้าคงไม่มาแช่น้ำในเวลานี้หรอก..



................................................




...........................




............




....




..




"มาแล้วหรือ?.. เอานี่! ดาบของเจ้า" ข้าเลิกคิ้วแปลกใจกับศาสตราในมือที่นายช่างโยนให้ ลวดลายบนดาบเป็นแบบที่ข้าไม่เคยเห็น แถมยังเป็นดาบยาวไม่ใช่มีดสั้นหรือดาบสั้นที่นายช่างคลั่งไคล้ถึงขนาดยัดเยียดมาให้ข้าเสียมากมายจนเรือนข้าแทบจม..





"ข้าประหลาดใจนักที่ท่านจะทำในสิ่งที่คนมีอารยธรรมยกย่องสรรเสริญกันเสียที.." นี่ข้ากำลังฝันไปใช่หรือไม่? นายช่างจะกลับตัวกลับใจแล้วจริงๆหรือ? เรื่องนี้มันช่าง..






มันช่างเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกสะพรึงขวัญเป็นยิ่งนัก!!!






ปรากฏการณ์นี้สมควรได้รับการจารรึกให้เป็นประวัติศาสตร์อันใหญ่หลวง! และต้องเล่าขานให้รับรู้กันสืบไปจนชั่วลูกชั่วหลานโดยด่วนเป็นอย่างยิ่ง!! หรือนี่จะเป็นลางบอกเหตุของประวัติศาสตร์ที่กำลังจะแปรเปลี่ยนไปอย่างกลับหัวกลับหาง? ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ปล่อยให้มันกลับหัวกลับหางอยู่ผิดที่ผิดทางต่อไปเถอะข้ายอมละเลยหน้าที่สักครั้ง..





"ตกลงไม่เอาใช่ไหมข้าจะได้ริบคืน เหล็กกำลังขาดอยู่พอดี.."





"งั้นหรือ..แต่ข้ากำลังต้องการดาบยาวอยู่พอดี ต้องขอบคุณหยาดเหงื่อแรงกายของท่าน.." และทรัพยากรจำนวนมหาศาลเกินจะนับของข้าที่ถูกท่านขูดรีดไปจนหมดโกดังครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อกลายสภาพเป็น..





..ดาบสั้นสองเล่ม..







แค่คิดน้ำตาก็พาลจะไหล ยิ่งนึกภาพก็ยิ่งปวดใจเกินจะกล่าว..





ข้าคับแค้นใจนายช่างผู้นี้นักแต่อย่างไรเสียข้าก็จำเป็นต้องมีเขาในการสร้างดาบที่มีจิตวิญญาณ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่สามารถใช้พลังสร้างกายเนื้อให้ศาสตราทำงานได้ ตั้งแต่เริ่มรับหน้าที่เป็นซานิวะข้าก็ต้องรับมือกับศึกใหญ่ครั้งแรกด้วยการต่อรองจำนวนทรัพยากรกับนายช่างอย่างดุเดือดหน้าดำหน้าแดง จนสองปีที่ผ่านมา นอกจากการจัดทัพรับมือศัตรูกับดูแลเหล่าศาสตรา ข้าก็ได้ฝึกวิชาความอดทนอดกลั้นจากการกระทำอันน่าสาปส่งของนายช่างผู้นี้นี่แหละ แต่ข้าก็ไม่คิดจะซาบซึ้งในบุญคุณหรอกนะ แค่ระงับความโมโหไม่ให้เอ่ยปากสาปแช่งเขาได้ก็ถือว่าข้าได้ตอบแทนน้ำใจไม่มีอันใดติดค้างกันแล้ว





ข้าเดินกลับมายังเรือนพักของเหล่าศาสตราก่อนสั่งให้หนึ่งในนั้นจัดห้องพักว่างๆให้ข้าห้องนึง ใช้เวลาไม่นานนักข้าก็เดินเข้าไปในห้องพร้อมกับดาบใหม่ในมือ ปิดประตูบานเลื่อนก่อนจะนั่งคุกเข่า มือทั้งสองประคองศาสตราเล่มใหม่วางไว้เบื้องหน้าก่อนจะวางมือทาบทับแล้วหลับตาลง ดำดิ่งเข้าสู่ห้วงภวังค์เพื่อทำการค้นหาจิตวิญญาณที่หลับใหลของศาสตราเล่มนี้





เจอแล้ว..



        หืม? ไอสัมผัสของจิตวิญญาณนี่มัน..





"อ่า..เป็นผู้ที่ชื่นชอบการแบ่งปันเสมอเลยนะ..ท่านอินาริ.." ข้าอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับตนเองด้วยน้ำเสียงเจือรอยขัน นาคิกิสึเนะก็เล่มนึงแล้วที่มีไอสัมผัสเช่นนี้หากแต่เจือจางกว่า เทพเจ้าแห่งความอุดมเช่นท่านจะขยันเที่ยวแบ่งเสี้ยวพลังเกินไปหรือไม่นะท่านอินาริเมียวจิน..





ข้านึกในใจก่อนใช้พลังชักนำจิตวิญญาณที่ได้สัมผัสออกมาด้านนอกได้สำเร็จ ดวงแสงทรงกลมขนาดเท่าหนึ่งกำมือกำลังล่องลอยเปล่งแสงสีขาวนวลตาประหนึ่งดวงแก้วอันงามวิจิต ข้าคลี่รอยยิ้มบางก่อนจะใช้มือโอบประคองให้เข้ามาหาตัว สองแขนของข้าโค้งเข้าหาทำท่าคล้ายการโอบกอดก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ปลดปล่อยพลังที่เหล่าซานิวะทั้งหลายพึงมีออกมาอย่างเต็มที่เพื่อสร้างกายเนื้อใหม่ให้จิตวิญญาณเบื้องหน้า





....





น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาอย่างเป็นปริศนายิ่งทำให้ข้ายิ้มกว้าง เมื่อลืมตาขึ้นข้าก็เห็นจิตวิญญาณซึ่งมีร่างเป็นบุรุษหนุ่มรูปร่างแข็งแกร่งสมชายชาตรีนอนซบอยู่ในอ้อมแขน ศาสตราเล่มนี้มีเรือนผมสีขาวเหมือนข้าแต่ฟูฟ่องหนานุ่มกว่าราวขนจิ้งจอก อ่า..เจ้าตัวมีเขี้ยวที่ยาวกว่าคนปกติแบบจิ้งจอกด้วย สมกับที่มีเชื้อสายของเทพอินาริจริงๆ





"อืม.. นี่ข้า.."





ดวงตาคมกริบค่อยๆปรือขึ้นมาอย่างงุนงงก่อนจะจับจ้องอยู่ที่ข้าราวกับกำลังพิจารนา ศาสตราตรงหน้าทำจมูกฟุดฟิดคล้ายสุนัขกำลังดมกลิ่น อืม.. หวังว่าเจ้าตัวจะไม่ร้องโวยวายเพราะมีเจ้านายเช่นข้านะ เขาว่ากันว่าจิ้งจอกนั้นสัญชาตญาณดีแถมรับรู้แยกแยะกลิ่นได้ดีมาก แต่เหนือจิ้งจอกก็ยังมีเทพจิ้งจอก.. ข้าก็ได้แต่หวังว่าศาสตราเชื้อสายเทพจิ้งจอกตรงหน้านี้จะมีใจเป็นกลางแบบนาคิกิสึเนะที่ทำตัวผ่อนคลายไร้ความหวาดระแวง





"อรุณสวัสดิ์.." ข้าตัดสินใจเปิดฉากสนทนาก่อน ยังดีกว่าปล่อยให้อีกฝ่ายซึ่งตอนนี้กำลังยื่นหน้ามาใกล้จนแทบจะซุกเข้าไปในอกเสื้อข้าได้สำรวจอะไรต่อมิอะไรของข้าต่อ.. ศาสตราตรงหน้าเหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองควรทำสิ่งใดจึงค่อยๆลุกออกจากอ้อมแขนข้าแล้วนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าแทนที่ดาบซึ่งเป็นร่างจริงของเขา





"ข้าโคกิทสึเนะมารุ หนึ่งในดาบชั้นเลิศของมุเนะจิกะซันโจที่สร้างขึ้นตามพระบัญชาของจักรพรรอิจิโจ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะขอรับนายท่าน"





"ทางข้าเองก็เช่นกัน จากนี้ไปต้องขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะโคกิทสึเนะ.." ข้ายิ้มด้วยความพอใจก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดีชื่นมื่น หลังการแนะนำตัวและอธิบายสถานการณ์ให้อีกฝ่ายเข้าใจคร่าวๆแล้วข้าก็ขอตัวกลับเรือนพักโดยยกห้องที่เพิ่งเดินจากมาให้โคกิทสึเนะได้อาศัย





จากประวัติคร่าวๆที่ได้ฟังตอนโคกิทสึเนะแนะนำตัวทำให้ข้ารู้ว่าเจ้าตัวถือกำเนิดขึ้นจากช่างตีดาบคนเดียวกับมิคาสึกิ หากมีโคกิทสึเนะมาอยู่ด้วยเช่นนี้มิคาสึกิคงจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างกระมัง..





แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดมิคาสึกิจึงไม่ชอบหน้าข้าตั้งแต่แรกเห็น




.......
















1 ความคิดเห็น: